ครัวไกลบ้านได้ทำการปรังปรุงเวบไซต์ให้ใช้งานได้ง่ายขึ้นในระบบสมาร์ทโฟน และได้รวมข้อมูลเมนูอาหารและ สมาชิกจากทั้งเวบไซต์เก่าและใหม่เสร็จเรียบร้อยแล้ว

สมาชิกท่านไหนมีปัญหาไม่สามารถล็อกอินได้ ให้ทำการเปลี่ยนพาสเวิร์ดโดยคลิ๊กลิ้งค์นี้ ลืมรหัสผ่าน
ถ้าท่านใดมีชื่อสมาชิกมากกว่าหนึ่งชื่อแล้วต้องการรวมโพสทั้งหมดให้อยู่ในชื่อสมาชิกเดียว หรือมีปัญหาในการใช้เวบไซต์
สามารถส่งอีเมล์แจ้งรายละเอียดมาได้ที่ [email protected] หรือส่งข้อความได้ที่ user: sillyfooks

ถ้าชอบครัวไกลบ้าน อย่าลืมคลิ๊กไลค์เฟสบุ๊คให้ครัวไกลบ้านด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ

บทสัมภาษณ์ อานันท์ ปัญญารชุน เกี่ยวกับในหลวง

ห้องนี้เปิดไว้สำหรับให้อาสาสมัครช่วยงานเว็บครัวไกลบ้าน เพื่อใช้เป็นห้องทดลองตั้งกระทู้ แตกระทู้ รวมกระทู้ ฯลฯ สมาชิกมองไม่เห็นห้องนี้นะคะ หากไม่แน่ใจว่าจะจัดการกับคำสั่งต่างๆอย่างไร เชิญแวะฝึกหัดที่ห้องนี้ได้เลยค่ะ

โพสต์โดย ไทยแท้แท้ » พุธ ต.ค. 31, 2007 6:54 pm

พระมหากษัตริย์ที่ดีและยิ่งใหญ่

หมายเหตุ : คำถาม-คำตอบ ฯลฯ อานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี หลังการกล่าวแนะนำหนังสือเรื่อง The King of Thailand in World Focus กับผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ที่โรงแรมโอเรียนเต็ล ซึ่งมีเนื้อหาที่น่าสนใจ

มาร์วัน มาคาร แห่งอินเตอร์เพรส เซอร์วิส
ข้อจำกัดประการหนึ่งสำหรับนักข่าวต่างประเทศเมื่อรายงานเรื่องสถาบันกษัตริย์ก็คือกฎหมายว่าด้วยความผิดอาญาฐานหมิ่นพระบรมราชานุภาพ คุณได้กล่าวถึงพระราชดำรัสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พ.ศ.2548 พระองค์รับสั่งว่าพระเจ้าแผ่นดินก็อาจพลาดได้ แต่ผู้สื่อข่าวไทยไม่ได้จับมาเป็นประเด็นและยังคงทำงานข่าวอย่างที่เคยทำมาก่อนหน้านั้น คุณคิดว่าจะมีโอกาสไหมที่นักการเมืองชั้นนำของไทยจะนำทางโดยกล่าวว่าเรามีความเคารพในสถาบัน แต่ไม่เห็นเหตุผลที่จะต้องมีกฎหมายแบบนี้ ซึ่งควบคุมการรายงานข่าวเกี่ยวกับสถาบันตามที่เป็นอยู่ และแผนที่รายงานเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

นายอานันท์ ปันยารชุน : นี่เป็นคำถามค่อนข้างยาก เหมือนกับว่าคุณจะเอาแต่ประโยชน์โดยไม่ยอมเสียอะไรเลย ด้านหนึ่งคุณจะต้องคำนึงถึงเจตนารมณ์ของประชาชน ผมใคร่จะเรียนว่าผมไม่ทราบว่ากฎหมายมาตรานี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ใน 2 วาระที่ผมเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งผมมีโอกาสได้เฝ้าฯ พระเจ้าอยู่หัวเป็นครั้งคราว พระองค์ท่านไม่เคยรับสั่งแม้แต่ครั้งเดียวเรื่องที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งที่หลายเรื่องก็ไม่เป็นธรรม เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้พระองค์ท่านไม่เอามาเป็นเรื่องรบกวนพระทัย และไม่ทรงเห็นว่าสำคัญพอที่จะหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นกับนายกรัฐมนตรีของพระองค์
อีกด้านหนึ่งคุณก็ต้องเข้าใจว่าบางเรื่อง เฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของตะวันตก ความขลังของสถาบันกษัตริย์ ซึ่งกำลังลื่นไหลไปตามกระแสหลักด้วยคิดว่ากษัตริย์ควรทำตนให้เหมือนสามัญชน นั่นก็อาจเป็นเรื่องดี คนไทยเราไม่ขัดข้องในกระแสดังกล่าว แต่ผมคิดว่าพวกคุณก็ต้องเคารพแนวคิดและขนบประเพณีของผู้คนในประเทศนี้ พระเจ้าอยู่หัวไม่เคยรับสั่งเรื่องนี้กับผมเลย แต่ในความเห็นส่วนตัวผมเองก็ไม่ค่อยชอบกฎหมายนี้ เผอิญผมได้รับการศึกษาในต่างประเทศ และใช้ชีวิตในต่างประเทศ แต่พวกคุณต้องเข้าใจว่าในประเทศนี้ พระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในสถานะที่จะล่วงละเมิดมิได้โดยเจตนารมณ์ของประชาชน ผมเชื่อแน่ว่าพระองค์ท่านไม่เคยทรงวิตกว่ากฎหมายมาตรานี้จะมีอยู่หรือไม่ แต่คนไทยจะไม่ยอมแน่ พวกคุณอาจจะต้องคอยนานถึง 20 หรือ 50 ปี แต่คนไทยไม่ว่าจะผิดหรือถูกจะไม่ยอมทน “คำวิพากษ์วิจารณ์” พระเจ้าอยู่หัวของเราโดยเด็ดขาด นี่คือความรู้สึกของคนไทย
ถ้าหากคุณทำประชามติ (เรื่องนี้) ในวันพรุ่งนี้ คุณก็จะได้เห็นว่ามีการออกเสียงเห็นชอบเพิ่มมากขึ้นกว่าครั้งที่แล้ว ผมคิดว่านี่เป็นลักษณะการคิดของคนไทย เป็นสิ่งที่ฝังรากลึกมากว่า 800 ปี ซึ่งคงจะล้มล้างกันไม่ได้ง่ายๆ บางครั้งผมอดที่จะอัศจรรย์ใจไม่ได้ว่าคนไทยเรานี่ดูจะเป็นคาทอลิกยิ่งเสียกว่าองค์พระสันตะปาปา (เสียงหัวเราะ) ผมเชื่อเสมอว่าคนไทยเป็นพวกสนับสนุนระบอบราชาธิปไตยยิ่งกว่าพระเจ้าอยู่หัวเสียอีก (เสียงหัวเราะ)
ไม่เพียงแต่ประชาชนคนไทยเท่านั้น รับบาลไทยเองก็วิตกกังวลไปด้วยทุกครั้งที่มีหนังสือ หรือสิ่งตีพิมพ์ออกมาใหม่ วิจารณ์พระเจ้าอยู่หัว ผู้ที่เดือดร้อนที่สุดคือรัฐบาลซึ่งจะจัดการห้ามจำหน่ายหนังสือเล่มนั้น ภาพยนตร์เรื่องนี้สกัดนั่น สกัดนี่ ทำไมหรือ เหตุผลก็คือรัฐบาลเกรงว่าถ้าไม่ทำอะไรเลยจะถูกประชาชนตำหนิ ทั้งนี้ทั้งนั้น คุณจะตำหนิรัฐบาลก็ไม่ถูกนัก เพราะที่ทำไปก็เพียงตอบสนองความรู้สึกของประชาชน

โจนาธาน เฮด จาก บีบีซี
ผมสังเกตว่าเมื่อคุณพูดถึงความสำเร็จต่างๆ ของพระเจ้าอยู่หัว ความสำเร็จประการหนึ่งก็คือ การแทรกแซงของพระองค์มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อความสงบ และความกลมเกลียวกันของสังคม แต่คุณก็เคยพูดอย่างไม่เป็นทางการว่า คุณเองไม่ค่อยมั่นใจในความกลมเกลียวนัก ผมทราบมาว่ามีคนจำนวนไม่น้อยตำหนิสุภาพบุรุษท่านหนึ่ง ซึ่งขณะนี้กำลังปลาบปลื้มกับการเป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอลระดับยอดของบริติชพรีเมียร์ลีก ว่าเป็นต้นเหตุของความร้าวฉานส่วนใหญ่ในสังคม ผมชักจะสงสัยว่าสังคมไทยได้เปลี่ยนแปลงไปมากจนเกินกว่าที่พระองค์จะมีส่วนช่วยธำรงความสามัคคีของสังคมไว้ได้ปัจจุบันสังคมได้ก้าวไปไกลมาก และปัญหาก็ซับซ้อนเกินจะเยียวยาด้วยการแทรกแซงของพระองค์แล้ว

นายอานันท์ : คุณโจนาธาน แม้ว่าคุณกับผมจะศึกษามาในสถาบันเดียวกันก็ตาม (เสียงหัวเราะ) ผมต้องขออนุญาตเห็นต่าง ผมไม่เคยใช้คำว่า “แทรกแซง” เลย สำหรับผมพระองค์ท่านทรงยึดตัวบทกฎหมายตามตัวอักษรและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด เรื่องซึ่งชาวต่างประเทศมองว่าพระองค์ท่าน “แทรกแซง” ผมขอแยกออกเป็น 2 ประเภท ประเภทแรกเป็นการแทรกแซงที่ริเริ่มด้วยบุคคลผู้นั้นเอง ในกรณีของพระเจ้าอยู่หัว การแทรกแซงเป็นการเข้าไปโดยมีผู้ร้องขอ จะเห็นได้ว่ามีความแตกต่างกันเล็กน้อย อีกประการหนึ่ง ตลอดระยะเวลาที่ผมทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีทั้ง 2 ครั้งนั้น ผมได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ ถวายรายงาน ไม่เคยมีรับสั่งใดๆ แม้แต่ครั้งเดียวที่เกี่ยวข้องกับการเมืองของประเทศ หากจะมีครั้งใดที่ทรงรู้สึกว่าอาจจะก้าวล้ำขอบเขต พระองค์ท่านก็ทรงยับยั้งไว้ในกรอบวินัยที่ทรงตั้งไว้ จะรับสั่งกับผมว่า “นี่เป็นเรื่องที่นายกฯ มาขอความเห็นนะ”
ฉะนั้น เมื่อผมเขียนสุนทรพจน์ครั้งนี้ ผมได้ชี้ให้เห็นชัดว่าไม่ใช่ “ปรึกษานายกรัฐมนตรี” แต่ “ขอเข้าเฝ้าฯ ปรึกษา” ถ้าไม่ใช่เป็นเรื่องที่นายกรัฐมนตรีนำขึ้น พระองค์จะไม่พระราชทานคำปรึกษาใดๆ เลย หากจะทรงมีความเห็นก็จะให้เฉพาะเรื่องที่ทูลถามเท่านั้น มีบางคนที่ไม่ได้มาจากประเทศที่มีกษัตริย์ หรือมาจากประเทศที่กษัตริย์ลดบทบาทลงตามกระแสความคิดของส่วนนั้นๆ ของโลก แต่สำหรับประเทศไทย สถาบันกษัตริย์เป็นแบบกลางๆ ยังคงรักษาพระราชพิธีและพระราชประเพณี ยังคงมีพิธีกรรมและพิธีการ แต่กระนั้น กษัตริย์และพระราชวงศ์จะใกล้ชิดประชาชนกว่ากษัตริย์ในประเทศอื่นๆ แม้ว่าในบางประเทศกษัตริย์และราชวงศ์จะปฏิบัติองค์ดั่งสามัญชน เช่นขี่จักรยาน หรือไปซื้อของตามห้างร้านเหมือนคนทั่วไปก็ตาม ในหลวงของเรารู้จักชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรของพระองค์เป็นอย่างดี ทรงเข้าใจความคิดจิตใจของคนธรรมดาสามัญ จนมีคำติติงว่าทรงให้เวลากับชาวไร่ ชาวนา คนยาก คนจน มากกว่าให้เวลากับชาวเมือง ในหลวงทรงเชื่อว่าประเทศไทยไม่ใช่เพียงผู้คนในกรุงเทพฯ ประเทศไทยคือดินแดนในชนบท
ถ้าคุณได้เรียนรู้พระราชประวัติ และพระราชกรณียกิจต่างๆ ตลอดระยะ 60 ปีที่ผ่านมา จะเห็นว่าพระองค์ทรงมุ่งเป้าไปที่ชนบทและชาวบ้าน ผู้ยากไร้ขัดสน พระองค์เป็นกษัตริย์พระองค์เดียวที่อาจจรรโลงเกียรติแห่งสถาบันนี้ไว้ได้ แต่ก็ยังแนบสนิทกับราษฎรยิ่งกว่ากษัตริย์พระองค์ใดในโลก

จอห์น ฮาร์เกอร์ – สมาชิก FCCT มาหลายทศวรรษ (นักข่าวอิสระ)
ผมอยากถามความเห็นของคุณในการรายงานข่าวของผู้สื่อข่าวต่างประเทศเรื่องการปฏิวัติเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว

นายอานันท์ : ความจริงผมคิดไม่ถึงเลยว่าจะมีโอกาสได้เห็นว่านักสังเกตการณ์ชาวตะวันตกเริ่มจะคิดเรื่องประชาธิปไตยทำนองเดียวกับคุณทักษิณ (เสียงหัวเราะและปรบมือ) ผมเป็นนักศึกษาในประเทศอังกฤษ 7 ปี อยู่ในประเทศอเมริกา 12 ปี และเดินทางไปทั่วโลกในระยะเวลา 50 ปี ผมมักถูกกล่าวว่าเป็นคนไทยนิสัยฝรั่ง อย่างไรก็ตาม ผมไม่เคยคิดว่าคนตะวันตกจะคิดแบบง่ายๆ ขนาดที่คิดว่าสามารถจะยัดเยียดประชาธิปไตยให้กับอิรักได้ ต้องการเปลี่ยนทั้งโลกให้เป็นประชาธิปไตยด้วยการปลูกฝังกระบวนการ ผมคิดไม่ถึงเลยว่าคนตะวันตกบางคนจะถือเอาว่าการเลือกตั้งคือประชาธิปไตย
ในที่นี้บางคนอาจได้อ่านบทสัมภาษณ์ของผมที่ลงพิมพ์ในบางกอกโพสต์ เมื่อวันเสาร์ที่แล้ว เราสนใจเพียงรูปแบบ มีรัฐธรรมนูญ มีการเลือกตั้ง มีฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ เท่านั้นหรือ เราไม่รู้ หรือลืมไปแล้วว่าประชาธิปไตยนั้น เป็นเรื่องของสังคมเปิด เรื่องหลักนิติธรรม เรื่องความโปร่งใส เรื่องเสรีภาพของสื่อมวลชน เรื่องภาระความรับผิดชอบ เรื่องการมีส่วนร่วมเรื่องความเป็นอิสระของฝ่ายตุลาการ เรื่องการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน เรื่องการถ่วงดุลอำนาจ ผมรู้สึกงงงวยอย่างมากกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั่วโลกในช่วงไม่กี่ปีมานี่ เราพากันหลงทางจนขนาดไม่รู้ว่าเรามาจากไหน เราเป็นใคร และเรากำลังจะไปไหนแล้วหรือ เราลืมค่านิยมต่างๆ ของเราแล้วหรืออย่างไร เราเบาปัญญาขนาดนั้นเทียวหรือ ผมไม่กังวลหรอกว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศไทยในอนาคต ที่ผมกังวลอย่างยิ่งก็คือ โลกของเราจะเป็นอย่างไร นี่เป็นคำถามที่สาหัสสากรรจ์ที่คุณต้องถามตัวเอง เรากำลังจะก้าวไปในทิศทางใด เราลืมหลักการพื้นฐานไปเสียแล้วหรือ เราลืมหลักศีลธรรมไปเสียแล้วหรือ

ดอมินิก โฟลเดอร์ แห่งเอเชีย อิงก์
ในคำนำของเดนิส (เกรย์) ในหนังสือเล่มนี้ มีข้อสังเกตว่าพระเจ้าอยู่หัวได้การโฆษณาประชาสัมพันธ์มากมายชนิดที่หลายต่อหลายคนได้แต่ฝัน และหากคุณพิจาณาจากช่วงเวลา 60 ปีมานี่ คุณลงความเห็นได้ไหมว่าสถาบันกษัตริย์ในประเทศไทย ในกาลข้างหน้าจะอยู่ในสภาพมั่นคงดีต่อไปเช่นที่พระองค์ท่านได้ดำเนินการไว้

นายอานันท์ : ผมพูดอยู่เสมอว่าสถานภาพของพระเจ้าอยู่หัวของเราที่สูงขึ้นถึงระดับนี้หลังจากครองราชย์มา 60 ปี เป็นผลมาจากบารมีที่พระองค์ทรงสร้างมา มิได้เป็นเรื่องการสืบทอด เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ในวัยเพียง 17-18 พระชันษา ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าพระองค์จะเป็นประมุขของชาติแบบใด แต่ผมคิดว่าด้วยพระปรีชาสามารถ พระวิริยอุตสาหะ และมุ่งมั่น พระองค์ทรงได้จำเริญขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ดี เมื่อกล่าวถึงพระเจ้าอยู่หัวของเรา พระองค์ท่านไม่เพียงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ แต่ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ดีด้วย ผมขอชี้ว่ามีความแตกต่าง เพราะผู้ใดผู้หนึ่งอาจเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ ทั้งที่มีข้อบกพร่องและข้อเสียหลายประการ แต่ถ้าหากเราพูดว่าผู้นั้นเป็นคนดีสำหรับผมมีความหมายมากกว่า ฉะนั้น เมื่อเรากล่าวถึงพระองค์ท่านว่าทรงเป็นกษัตริย์ที่ดี จึงมีความหมายลึกซึ้งกว่าที่กล่าวว่าพระองค์ท่านเป็นพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ การจะเป็นพระมหากษัตริย์ที่ดี เป็นคนดี เป็นเรื่องที่จะต้องได้มาด้วยอุตสาหะของตนเอง ไม่ใช่สืบทอดมาแต่อย่างไรก็ตาม สถาบันพระมหากษัตริย์นั้นซึมลึกอยู่ในประเทศไทยและความเป็นไทย ผมมั่นใจว่าสถาบันนี้จะยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์และดำเนินต่อไป
มาถึงประเด็นที่ว่าผู้ใดจะเข้ามาแทนที่ และผู้นั้นจะพยายามทำได้ดีเท่าองค์ปัจจุบันไหม ผมว่าไม่ค่อยยุติธรรมนักที่จะคาดหวังว่าผู้สืบทอดตำแหน่งนี้ จะสามารถเดินตามรอยเท้าของบุคคลที่ยิ่งใหญ่ได้ ถ้าหากคุณดูผู้นำระดับโลกที่มีบุตรชายและหญิงเดินตามรอยเท้าพ่อ อย่างเช่น เชิตชิลล์ ผมว่ามันไม่ยุติธรรมที่จะคาดหวังว่าบุตรธิดาเหล่านั้นจะประสบความสำเร็จอย่างพ่อ กระนั้นก็ตาม ผู้ที่สืบทอดราชบัลลังก์คงจะพยายามจนสุดความสามารถที่จะทำให้ได้เทียมเท่าในหลวงพระองค์นี้ จะสำเร็จหรือไม่เพียงใดนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง คำถามคือว่าผู้นั้นจะพยายามทำหรือไม่ และจะสำเร็จแค่ไหน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่อาจคาดเดาได้ และถึงแม้ว่าผู้นั้นจะพยายามแล้วแต่ไม่สำเร็จ เขาผู้นั้นก็ยังคงเป็นพระเจ้าแผ่นดินได้ เป็นประมุขของสถาบันซึ่งจะคงอยู่ถาวรในประเทศไทย ประชาชนจะยังคงรับได้ว่าเรามีพระเจ้าแผ่นดินที่ทรงสง่าราศี แม้จะมีข้อจำกัดบางประการ เราก็ยังคงเคารพนับถือว่าเป็นพระเจ้าแผ่นดินของเรา
นี่แหละที่ผมเห็นว่าเป็นการขัดแย้งในตัวเองของผู้สื่อข่าวและผู้สังเกตการณ์ต่างประเทศ ทางหนึ่งพวกคุณตำหนิพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้ว่า “แทรกแซง” อีกทางหนึ่งคุณก็คล้อยตามคนไทย และอาจจะไม่รู้ตัวว่ายังต้องการพึ่งพระราชอำนาจของพระองค์อยู่ พวกคุณไม่อาจจะเอาแต่ประโยชน์โดยไม่ยอมเสียอะไรเลย ถ้าหากคุณไม่ต้องการให้พระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้ “แทรกแซง” การที่พระเจ้าอยู่หัวองค์ต่อไปไม่ทรง “แทรกแซง” จะไม่ถูกต้องได้อย่างไร ผมไม่แน่ใจว่าคำชี้แจงของผมชัดเจนหรือไม่ ที่ผมจะอธิบายก็คือ พระบารมีของพระมหากษัตริย์เป็นสิ่งที่สร้างสมมาด้วยพระองค์เอง เป็นสิ่งที่สืบทอดกันไม่ได้ ผู้ที่สืบทอดตำแหน่งต่อจากพระองค์อาจจะพยายามสร้าง แต่จะสำเร็จหรือไม่ก็ได้ ถ้าหากไม่สำเร็จก็ไม่มีเหตุผลที่เราจะไม่พอใจ ผู้นั้นยังคงอยู่เป็นพระเจ้าแผ่นดิน เป็นสัญลักษณ์ของสถาบัน
แต่พวกคุณไม่อาจจะกล่าวว่าเราคนไทยหวังพึ่งพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้อย่างมาก จนจะเกิดสุญญากาศหากขาดพระองค์ท่านไป คุณตัดสินใจเองก็แล้วกันว่าต้องการพระเจ้าอยู่หัวที่มีบทบาทหรือนิ่งเฉย คุณเองก็ตกอยู่ในกับดักเช่นเดียวกันกับคนไทยทั้งหลาย คุณเองก็เริ่มที่จะจู้จี้ช่างเลือก ผมเคารพในสถาบันกษัตริย์ แต่ความเคารพหลักของผมคืออะไร ความเคารพหลักของผมคือสถาบัน และถ้าเรามีพระมหากษัตริย์ผู้ทรงบารมีเช่นนี้ถือว่าเป็นรางวัลพิเศษ

เดนิส เกรย์ แห่งสำนักข่าวเอพี
คุณคงทราบว่าคนไทยเกือบทุกคนและฝรั่งที่อยู่ในประเทศนี้ มักแสดงความวิตกกังวลว่า หากประเทศไทยไม่มีในหลวงก็จะมีแต่ความวุ่นวาย มีปัญหา บางคนก็ว่าอาจถึงขั้นจลาจล

นายอานันท์ : ก็เป็นฝรั่งพวกเดียวกันนี่แหละที่พร่ำบ่นว่าพระเจ้าอยู่หัวทรง “แทรกแซง” ในเรื่องนั้น เรื่องนี้ แต่เมื่อไม่มีพระองค์ท่านแล้วก็จะพร่ำหา เลือกเอาก็แล้วกันว่าต้องการอะไรกันแน่ แต่สำหรับตัวผมนั้นบอกได้เลยว่า อะไรก็ตามที่พวกคุณกล่าวหา ล้วนไม่เป็นความจริง พระองค์ท่านไม่เคยแทรกแซงในเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น พระองค์ท่านไม่มีวาระซ่อนเร้น

เดนิส เกรย์ แห่งสำนักข่าวเอพี
ไม่เว้นแต่ละวันที่ผมและเพื่อนๆ นักข่าว บางทีคุณ หรือคนไทยบางคนจะพูดกันว่า แย่มากเลยนะถ้าประเทศไทยไม่มีในหลวง เพราะประเทศจะวุ่นวายโกลาหล จริงไหมครับ

นายอานันท์ : คุณต้องเข้าใจนะ ผมก็เป็นคนส่วนน้อย ผมเบื่อพวกนักข่าวต่างประเทศเสียจริงๆ (เสียงหัวเราะ เสียงปรบมือ) แต่ผมก็เบื่อพวกคนไทยมากกว่า ผมพูดที่โต๊ะอาหารว่าครั้งหนึ่งพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสว่า จะครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม ตลอดเวลา 15 ปีที่ผ่านมา ผมได้พยายามที่จะชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่าง “ประโยชน์” ซึ่งหมายถึงผลประโยชน์ทางวัตถุ และ “ความสุข” ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณพอใจหรือไม่
ถ้าคุณวัดจีดีพีของประเทศ ผลที่ได้จะไม่สะท้อนพัฒนาการของประชาชนอย่างแท้จริงเลย คุณต้องดูดัชนีวัดความสุขของประชาชน แบบที่ทำกันที่ภูฏาน ผมเคยเชื่อเสมอมาจนกระทั่ง 2-3 ปีที่แล้ว ถ้าคุณวัดประเทศไทยตามดัชนีวัดความสุขมวลชนของประเทศ คุณก็จะพบว่าแทนที่จะอยู่ในลำดับที่ 65 ตามจีดีพี เราก็จะขึ้นไปอยู่ประมาณลำดับที่ 25 หรืออาจจะถึง 20 ก็ได้
แต่ผมต้องยอมรับว่าผมเลิกความคิดนี้แล้ว เพราะผมไม่สามารถเข้าใจคนไทยได้ (เสียงหัวเราะ) จะด้วยเหตุใดก็ตาม คนไทยไม่เพียงแต่จะมองสิ่งต่างๆ ไปในแง่ร้ายเท่านั้น แต่ยังชอบลงแส้ทรมานตนอีกด้วย เรามีการลงประชามติเรื่องรัฐธรรมนูญ ทันทีที่ผลออกมา คนพวกนี้ก็เป็นกังวลว่าผลออกมาไม่ดี เพราะเสียงส่วนใหญ่ที่เห็นชอบนั้นมีเพียง 57% เสียงที่ไม่เห็นชอบประมาณ 41% คะแนนเสียงต่างกัน 15% และถ้าดูจำนวนเสียงทั้งหมดจะเห็นว่าเป็นความแตกต่างระหว่างเกือบ 15 ล้านเสียง กับ 11 ล้านเสียง ซึ่งก็คือส่วนต่าง 15% ของผู้ที่ออกไปลงเสียง 4 ล้านเสียง ถ้าคุณอ่านหนังสือพิมพ์ไทย อ่านบทความ ฟังรายการวิพากษ์วิจารณ์ข่าว ล้วนแสดงความคิดเห็นว่าเสียงต่างกันน้อยมาก ซึ่งผมไม่เข้าใจเลยจริงๆ อีกประการหนึ่งทันทีที่ผลการลงประชามติออกมาส่วนใหญ่รับร่างรัฐธรรมนูญ ก็มีการพูดถึงรัฐประหารครั้งต่อไป (เสียงหัวเราะ) ผมถามว่าพลาดตรงไหน มันเป็นเรื่องที่ไม่สามารถจะอธิบายได้ เป็นเรื่องไร้ตรรกะและเหตุผลโดยสิ้นเชิง ผมให้คำตอบเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ผมโทษคุณทักษิณ (เสียงหัวเราะและเสียงปรบมือ)

จอห์น แอลลัน เรย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
คุณอานันท์ได้ชี้แจงและพูดถึงสถาบันกษัตริย์ และพระราชอำนาจของกษัตริย์ ผมสังเกตว่าตลอดเวลาคุณอานันท์ใช้สรรพนามเพศชายในภาษาอังกฤษ เป็นไปได้ไหมในอนาคตที่ยาวนานจะมีการใช้สรรพนามเพศหญิง

นายอานันท์ : ผมไม่เห็นมีอุปสรรคใดๆ ในอนาคต ผมไม่ทราบว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันระบุไว้ว่าอย่างไร ผมชื่อว่าเป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่แล้ว ผมไม่คิดว่าคนไทยจะเห็นเป็นเรื่องขบคิดกันมาก ไม่เหมือนชาวญี่ปุ่น ซึ่งในเรื่องนี้ถึงกับมีสงครามกลางเมือง ดูกรณีที่เจ้าชายชาวญี่ปุ่นองค์หนึ่งโทษนิสัยโปรดปรานการดื่มน้ำเมาของพระองค์ว่าเกิดจากประเด็นที่ว่าสตรีอาจจะขึ้นครองบัลลังก์ได้ เราไม่เคร่งครัดถึงปานนั้น ประการหนึ่งคนไทยไม่เอาจริงเอาจังกับเรื่องอย่างนั้น ใครที่มาเมืองไทยและเอาจริงเอาจังกับคนไทยแล้วค่อนข้างจะอันตรายกับตนเองสักหน่อยนะ (เสียงหัวเราะและปรบมือ)
บทส่งท้าย
เรื่องหนึ่งซึ่งผมไม่ค่อยสบายใจนักคือ มีการกล่าวถึงพระเจ้าอยู่หัวว่าไม่เคยเห็นแย้มพระสรวล ผมคิดว่าเป็นข้อจำกัดอันเนื่องมาจากธรรมเนียมประเพณีและความเคารพในพระองค์ท่าน มีบุคคลไม่กี่คน บทความหรือบทสัมภาษณ์ไม่กี่ชิ้นที่สามารถถ่ายทอดให้คนทั่วไปได้เห็นด้านที่ผ่อนคลายของพระองค์ ผมจะเล่าเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ ให้ฟังสัก 2-3 เรื่อง ปกติแล้วผมจะไม่เปิดเผยเรื่องที่พระเจ้าอยู่หัวรับสั่งกับผมในฐานะนายกรัฐมนตรี แต่ผมว่าสมควรในกรณีนี้เพื่อที่เราจะได้รู้จักพระองค์ท่านดีขึ้นในฐานะมนุษย์ธรรมดา
เรื่องแรกนั้นเกิดขึ้นเมื่อผมทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 มีบางเรื่องซึ่งผมคิดว่าพระเจ้าอยู่หัวจะสนพระทัย เมื่อฉบับร่างเสร็จสมบูรณ์แล้ว ผมได้ขอเข้าเฝ้าฯ ทูลเกล้าฯ ถวายรายงาน และยก 3-4 ประเด็นที่คิดว่าจะสนพระทัย แต่พระองค์ท่านไม่ได้สนพระทัยนัก แน่นอนพระองค์สนพระทัยประเด็นที่ว่าจะตราพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติหรือไม่ นอกเหนือจากนั้นก็ไม่ค่อยสนพระทัยเรื่องที่ผมรายงานสักเท่าใด ตอนสุดท้ายพระองค์รับสั่งว่า “คุณอานันท์ มันแปลกดีนะที่ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ กำหนดไว้ว่าพระมหากษัตริย์จะต้องเป็นพุทธมามกะ ต้องเป็นอัครศาสนูปถัมภก ต้องเป็นนั่น ต้องเป็นนี่ แต่ไม่มีตรงไหนในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ระบุว่าพระมหากษัตริย์ต้องเป็นคนไทย” (เสียงหัวเราะและปรบมือ) ผมขอท้าพวกคุณว่าในบรรดาคนไทย 62 ล้านคน มีใครไหมที่ปราดเปรื่องคิดถึงรายละเอียดด้านเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้
อีกเรื่องหนึ่งเมื่อผมเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวาระที่ 2 โดยอุบัติเหตุอีกนั่นแหละ (เสียงหัวเราะ) ในการเข้าเฝ้าฯ ครั้งแรก ผมถวายคำนับแล้วลงกราบพระบาท พอผมยืนขึ้น ทรงรับสั่งว่า “Shane, come back” (เสียงหัวเราะ) พวกคุณที่อายุไม่มากนักอาจจะไม่รู้เรื่องเชนว่าเป็นมาอย่างไร เชนเป็นภาพยนตร์ที่พวกเราได้ชมกันเมื่อ 40 หรือ 50 ปีก่อน เชนเป็นคนเที่ยงธรรม เป็นนายอำเภอของเมืองเมืองหนึ่งที่มีปัญหาหนักมาก เขาทำให้เมืองสงบเรียบร้อย กวาดล้างมือปืนวายร้าย แล้วก็วางอาวุธปลดเกษียณตัวเองไปอยู่ในชนบท แต่ความวุ่นวายก็เกิดขึ้นในเมืองนั้นอีก เราเลยพูดกันติดปากว่า “Shane, come back” (เสียงหัวเราะและปรบมือ)



บทสัมภาษณ์ ฯพณฯ อานันท์ ปันยารชุน “พระมหากษัตริย์ที่ดีและยิ่งใหญ่” จากหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันจันทร์ที่ 24 กันยายน 2550
<br><span style='font-family:Times'><span style='color:blue'><span style='font-size:14pt;line-height:100%'>"It does not matter how slowly you go as long as you do not stop."</span></span></span> — <i>Confucius</i>
ภาพประจำตัวสมาชิก
ไทยแท้แท้
แม่ไข่หวาน พ่อไข่เค็ม
 
โพสต์: 1088
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ พ.ค. 13, 2007 11:13 pm

โพสต์โดย CakeLarvik » พุธ ต.ค. 31, 2007 8:01 pm

ขอบคุณ พี่ไทยแท้ แท้ มาก ๆ ค่ะ สำหรับเนื้อหาดี ๆ อ่านไปก็นั่งแปลให้สามีฟังไปด้วย เราไม่ได้มีแค่พระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ แต่เรามีพระมหากษัตริย์ที่ดีที่สุดในโลกค่ะ พระองค์ตระหนักดีถึงหน้าที่ของพระองค์ท่านและท่านก็ทำหน้าที่นั้นได้ดีที่สุด เราคนไทยก็ต้องทำหน้าที่คนไทยให้ดีที่สุดเช่นกัน

โชคดีหนักหนาที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย

นายอานันท์ : ผมพูดอยู่เสมอว่าสถานภาพของพระเจ้าอยู่หัวของเราที่สูงขึ้นถึงระดับนี้หลังจากครองราชย์มา 60 ปี เป็นผลมาจากบารมีที่พระองค์ทรงสร้างมา มิได้เป็นเรื่องการสืบทอด เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ในวัยเพียง 17-18 พระชันษา ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าพระองค์จะเป็นประมุขของชาติแบบใด แต่ผมคิดว่าด้วยพระปรีชาสามารถ พระวิริยอุตสาหะ และมุ่งมั่น พระองค์ทรงได้จำเริญขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ดี เมื่อกล่าวถึงพระเจ้าอยู่หัวของเรา พระองค์ท่านไม่เพียงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ แต่ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ดีด้วย
ภาพประจำตัวสมาชิก
CakeLarvik
แม่ไข่ตุ๋น พ่อไข่ต้ม
 
โพสต์: 43
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.ค. 15, 2007 8:20 pm

โพสต์โดย icecappucino » เสาร์ พ.ย. 17, 2007 12:13 am

Thank you to quote it for us. This makes me proud of him and I can't wait to go back home.

Thank you again.
ภาพประจำตัวสมาชิก
icecappucino
แม่ไข่ตุ๋น พ่อไข่ต้ม
 
โพสต์: 1
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ต.ค. 20, 2006 1:49 am

โพสต์โดย Rotjana Geneva » อาทิตย์ พ.ย. 18, 2007 10:11 am

ขอบคุณพี่ต่ายมาก ๆ ค่ะ รจนาอ่านทุกคำที่พี่นำมาถ่ายทอด... ด้วยความปลาบปลื้มใจที่บ้านเมืองเรามี "พระมหากษัิตริย์ที่ดี" และมี อดีต "นายกฯ" ที่ดี อย่างคุณอานันท์ด้วย....
ภาพประจำตัวสมาชิก
Rotjana Geneva
แม่ไข่ยัดไส้ พ่อไข่ลูกเขย
 
โพสต์: 658
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ค. 02, 2007 10:35 am
ที่อยู่: เจนีวา สวิตเซอร์แลนด์

โพสต์โดย piraon » จันทร์ มิ.ย. 16, 2008 5:31 pm

Long live the King, Pleaseeeeeeeee
ภาพประจำตัวสมาชิก
piraon
แม่ไข่ตุ๋น พ่อไข่ต้ม
 
โพสต์: 15
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ มี.ค. 26, 2007 9:38 pm

โพสต์โดย sky 7 » จันทร์ มิ.ย. 16, 2008 8:07 pm

ขอบคุณ พี่ต่ายมากเลยคะ ที่นำบทความสัมภาษณ ์ มาให้อ่านกันคะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
sky 7
แม่ไข่ตุ๋น พ่อไข่ต้ม
 
โพสต์: 97
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ก.ค. 29, 2006 4:52 pm


ย้อนกลับไปยัง Web Moderator

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Majestic-12 [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน