น้ำตาแห่งปลื้มปีติ ส่งเสด็จฯ กลับ 'พระตำหนัก'
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออกจากโรงพยาบาลศิริราช กลับไปประทับพักฟื้น ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐานแล้ว เมื่อบ่ายวันที่ 4 ส.ค. หลังจากคณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาพระปิฐิกัณฐกัฐิ (กระดูกสันหลัง) มีความเห็นสมควรให้เสด็จฯกลับไปประทับพักฟื้นพระ วรกายได้ ท่ามกลางความปลื้มปีติของพสกนิกรไทย และโล่งใจที่ทรงปลอดภัย พร้อมกับเฝ้ารอวันที่พระองค์หายจากพระอาการประชวร และพากันสวมเสื้อสีเหลืองมาเฝ้าส่งเสด็จกันอย่างเนืองแน่น ที่โรงพยาบาลศิริราช พร้อมโบกธงทรงพระเจริญและเปล่งเสียงถวายพระพรด้วยความจงรักภักดี
เสด็จฯ ประทับพักฟื้น ณ พระตำหนักแล้ว
โดยสำนักพระราชวังได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 18 เมื่อเวลา 23.50 น. วันที่ 3 ส.ค. เรื่องการถวายการรักษาพระปิฐิกัณฐกัฐิ (กระดูกสันหลัง) ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า ตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินมาประทับแรม ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคม 2549 เพื่อทรงรักษาพระปิฐิกัณฐกัฐิ (กระดูกสันหลัง) ด้วยการผ่าตัดขยายช่องทางเดินประสาทของพระปิฐิกัณฐกัฐิระดับบั้นพระองค์ โดยใช้กล้องจุลทัศน์ เพื่อแก้ไขการกดทับประสาทที่แยกออกจากไขสันหลัง อันเป็นสาเหตุุทำให้กล้ามเนื้อพระเพลา (ขา) อ่อนแรง ซึ่งสำนักพระราชวังได้แถลงการณ์ให้ทราบมาโดยตลอดนั้น
กำลังพระกล้ามเนื้อดีขึ้นเร็วเกินคาด
คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาได้รายงานว่า การผ่าตัดประสบผลสำเร็จ พระอาการดีขึ้นเป็นลำดับ และกำลังพระกล้ามเนื้อดีขึ้นเร็วกว่าที่คาดหมายไว้ เป็นที่พอใจของคณะแพทย์ สามารถที่จะเสด็จพระราชดำเนินออกจากโรงพยาบาลศิริราช กลับไปประทับพักฟื้นที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิตได้ในวันศุกร์ที่ 4 สิงหาคม 2549 ในการนี้ คณะแพทย์ได้ขอพระราชทานให้ทรงบริหารพระกล้ามเนื้อ เพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพ และขอพระราชทานถวายตรวจติดตามเป็นระยะ จนกว่าพระกล้ามเนื้อจะแข็งแรงเต็มที่ ซึ่งต้องใช้ระยะเวลานานพอสมควร กับขอพระราชทานให้ทรงงดพระราชกิจไว้ระยะหนึ่ง
ทรงขอบพระทัยและขอบใจผู้ห่วงใยทุกฝ่าย
อนึ่ง ในระหว่างที่ทรงพระประชวร ปรากฏว่ามีพระบรมวงศานุวงศ์ พระประมุข พระราชวงศ์ต่างประเทศ ทั้งมีถิ่นพำนักในประเทศไทย ทั้งที่เดินทางมาท่องเที่ยว นักบวชศาสนาต่างๆ ตลอดจนข้าราชการ พลเรือน ตำรวจ ทหารและประชาชนทุกหมู่เหล่า ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้แสดงความห่วงใยในพระอาการประชวรได้ลง พระนามและลงนามถวายพระพร ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเร็ว รวมทั้งได้เฝ้าติดตามข่าวพระอาการประชวรอยู่ ณ โรงพยาบาลศิริราช อย่างใกล้ชิด ซึ่งความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว ทรงชื่นชมในความปรารถนาดี ทำให้พระอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า โปรดกระหม่อมให้เชิญพระราชกระแสขอบพระทัยและทรงขอบใจมาแจ้งให้ทราบทั่วกัน สำนักพระราชวังจะได้ยุติการออกแถลงการณ์เพียงฉบับนี้ จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน สำนักพระราชวัง 3 สิงหาคม 2549
แห่จองพื้นที่เฝ้าส่งเสด็จกันแต่เช้าตรู่
สำหรับบรรยากาศที่โรงพยาบาลศิริราชตั้งแต่เช้า ตรู่วันที่ 4 ส.ค. หลังพสกนิกรทราบข่าวว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเสด็จกลับไปประทับพักฟื้น ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ได้เดินทางมาจับจองพื้นที่ โดยเฉพาะที่โถงอาคารเฉลิมพระเกียรติ เฝ้ารอส่งเสด็จ จนแน่นแทบไม่มีที่จะขยับตัว เช่นเดียวกับที่บริเวณสนามหญ้า 2 ข้างทางเสด็จพระราชดำเนิน หน้าตึกสยามินทร์ รวมทั้งสนามหญ้ารอบพระบรมราชานุสาวรีย์ฯ สมเด็จพระบรมราชชนก ล้วนแต่มีผู้คนสวมใส่เสื้อสีเหลืองมานั่งกันจนเต็มพื้นที่ไปหมด ทั้งนี้ ได้มีภาคเอกชนหลายหน่วยงานนำอาหารมาแจกจ่ายประชาชนที่เฝ้าส่งเสด็จ ขณะที่ประชาชนหลายคนเตรียมอาหารและน้ำดื่มมาพร้อม เพื่อนั่งรอเฝ้าชนิดปักหลักไม่ยอมลุกไปไหน เนื่องจากกลัวเสียพื้นที่นั่ง กระทั่งเวลา 06.00 น. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จลงจากอาคารเฉลิมพระเกียรติ ไปปฏิบัติพระราชกรณียกิจท่ามกลางประชาชนที่เฝ้ารอส่งเสด็จ
ตร.เคลียร์พื้นที่รักษาความปลอดภัย
ขณะเดียวกันที่บริเวณศาลาศิริราช 100 ปี ตั้งแต่เวลา 06.30 น. เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวัง ได้เคลื่อนย้ายโต๊ะลงนามถวายพระพร ไปตั้งไว้ที่อาคาร 100 ปีสมเด็จพระศรีนครินทร์ พร้อมเตรียมสถานที่ไว้สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินมาสักการะพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี ก่อนที่จะเสด็จพระราชดำเนินกลับ ทั้งนี้ น.พ.ปิยะสกล สกลสัตยาธร คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ร่วมกับเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวัง ได้ตรวจสอบความเรียบร้อยและนำเชือกกั้นประตูทางเข้าด้านหน้าของศาลาเอาไว้ ไม่ให้ผู้ไม่ เกี่ยวข้องผ่านเข้าออก ในส่วนของตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบนั้น มีการกระจายกำลังกันตรึงพื้นที่สำคัญๆต่างๆเพื่อรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ทั้งยังมีการเคลียร์พื้นที่ตลอดเส้นทางเสด็จฯ ภายในโรงพยาบาลนับตั้งแต่อาคารเฉลิมพระเกียรติ ผ่านตึกสยามินทร์ มาจนถึงศาลาศิริราช 100 ปี นอกจากนี้ยังมีการนำสุนัขตำรวจ มาดมกลิ่นหาสิ่งผิดปกติที่บริเวณลานจอดรถรอบๆนอกของอาคารด้วย
รับสั่งให้จัดเส้นทางเสด็จฯเรียบง่าย
ต่อมาในช่วงสาย พล.ต.ท.วิโรจน์ จันทรังษี ผบช.น. เรียกประชุมเจ้าหน้าที่ๆเกี่ยวกับการถวายการรักษาความ ปลอดภัย เพื่อเตรียมอารักขาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการเสด็จกลับ จากนั้น พล.ต.ท.วิโรจน์เปิดเผยว่า ได้เตรียมพื้นที่สำหรับประชาชนที่จะเฝ้ารับเสด็จ พื้นที่ๆจะให้สื่อมวลชนได้บันทึกภาพ รวมทั้งปรับผิวจราจร ตั้งแต่แยกศิริราชผ่านสะพานพระราม 8 จนถึงวังสวนจิตร ทั้งนี้ ประชาชนสามารถเฝ้ารอส่งเสด็จได้ตลอดสองข้างทางเสด็จพระราชดำเนิน ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่เตรียมคอยอำนวยความสะดวกให้ ซึ่งระหว่างที่เสด็จกลับ ประชาชนสามารถสัญจรไปมาได้ตามปกติ ไม่มีการปิดถนน เนื่องจากตำรวจยึดแนวทางตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือเสด็จฯแบบเรียบง่ายไม่ให้ประชาชนที่สัญจรได้รับผลกระทบ
คนยังแห่ลงนามไม่ขาดสาย
ส่วนที่อาคาร 100 ปี สมเด็จพระศรีนครินทร์ จุดลงนามถวายพระพร ตลอดช่วงเช้าวันที่ 4 ส.ค. ยังคงมีประชาชนซึ่งพร้อมใจกันสวมเสื้อเหลือง เดินทางมาลงนามถวายพระพรกันคับคั่ง ถึงขั้นต้องต่อคิวเข้าแถวรอกันยาวเหยียด ท่ามกลางบรรยากาศอันแสนสุขใจของพสกนิกร ที่ทุกคนต่างทราบว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวหายจากพระอาการประชวรและกำลังเตรียมเสด็จกลับ จึงมีการรวมตัวกันร้องเพลงสดุดีมหาราชาถวาย สำหรับคณะบุคคลที่เดินทางมานั้น มีอาทิ กลุ่มคณะแพทย์จากราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทย นำโดย พ.ญ.นงพงา ลิ้มสุวรรณ คณะนักเรียนจากโรงเรียนวรรัตน์ศึกษา โรงเรียนดิลกศึกษา จำนวนเกือบ 200 คน คณะนักเรียนพิการจากโรงเรียนอาชีวะพระมหาไถ่ จ.ชลบุรี เป็นต้น
คุณยาย 73 ปีได้เฝ้าฯในหลวงสมใจ
นางอัมพา เกศมุนี คุณยายวัย 73 ปี ซึ่งเดินทางมาจากจังหวัดนครปฐมกล่าวว่า ตั้งแต่รู้ว่าในหลวงประชวร ก็เดินทางมาเฝ้าติดตามพระอาการ ตั้งแต่วันที่ 21 ก.ค. โดยให้ลูกมาส่งตั้งแต่ 6 โมงเช้า และกลับบ้านในช่วง 3 ทุ่มของทุกวัน ไม่รู้สึกว่าลำบาก ตรงข้ามมีแต่ความสบายใจ ที่ได้อยู่ใกล้พระองค์ และเมื่อทราบว่าในหลวงจะเสด็จกลับ ก็ดีใจมากปลื้มใจสุดๆ จึงมาจองพื้นที่รอเฝ้าส่งเสด็จที่หน้าตึกสยามินทร์ ตั้งแต่ตี 5 และได้นั่งแถวหน้าสุด เมื่อพระองค์เสด็จฯผ่านมาก็จะถวายพระพรให้ทรงมีพระชนมายุยืนนานเท่านาน ด้านนางถนอม โสกุมา อายุ 57 ปี เดินทางมาจากจังหวัดสมุทรปราการ กล่าวว่า ทราบข่าวว่าในหลวงจะออกจากโรงพยาบาลวันนี้จึงรีบมาจองพื้นที่เฝ้าส่งเสด็จตั้งแต่ตี 4 และจะไม่ลุกไปไหนจนกว่าจะเสด็จกลับเพราะอยากเห็นพระองค์อย่างใกล้ชิดสักครั้งในชีวิต ตั้งใจว่าถ้าพระองค์เสด็จฯผ่านมาตรงหน้า ก็จะเปล่งเสียงตะโกนให้ดังที่สุดว่าขอพระองค์ ทรงพระเจริญ
พระเทพฯ พระราชทานขนมปัง-น้ำดื่ม
เวลา 11.45 น. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายวัชรกิติ วัชโรทัย ผู้ช่วยเลขาธิการพระราชวัง ฝ่ายที่ประทับ นำขนมปังจำนวน 1,000 ชิ้น น้ำดื่ม 30 ลังและน้ำส้ม 20 ลัง มาแจกจ่ายให้แก่ประชาชนที่มาเฝ้าส่งเสด็จ ที่ใต้อาคารเฉลิมพระเกียรติ
พระบรมวงศานุวงศ์เข้าเฝ้าฯก่อนเสด็จกลับ
ในเวลา 13.00 น. ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ เสด็จยังอาคารเฉลิมพระเกียรติ ตามด้วยสมเด็จ พระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพร้อมด้วยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ประทับรถเข็นไฟฟ้าลงจากชั้น 16
กระทั่งเวลา 14.20 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จลงจากอาคารเฉลิมพระเกียรติพร้อมพระบรมวงศานุวงศ์ โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประทับรถเข็นไฟฟ้า มี รศ.น.พ.ประดิษฐ์ ปัญจวีณินทร์ อายุรแพทย์ โรงพยาบาลศิริราชและเป็นแพทย์ประจำพระองค์ด้านโรคหัวใจ เป็นผู้ถวายการเข็นรถ โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฉลอง พระองค์เสื้อสูทสีเหลือง คลุมทับเสื้อผ้าไหมลายขีดสีน้ำตาล ฉลองพระองค์กางเกงสีดำ พระพักตร์สดชื่นยิ้มแย้มแจ่มใสและทรงถือกล้องส่วนพระองค์ถ่ายภาพประชาชนที่มาเฝ้าส่งเสด็จ พร้อมโบกพระหัตถ์และแย้มพระสรวลให้ประชาชน ซึ่งผู้ที่มาเฝ้ารับเสด็จ ทั้งที่ใต้โถงอาคารกับที่บริเวณด้านนอกอาคาร เมื่อเห็นพระพักตร์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็พร้อมใจกันเปล่งเสียงถวายพระพรว่าทรงพระเจริญยิ่งยืนนานอย่างกึกก้อง ขณะที่พสกนิกรจำนวนมากกลั้นความตื้นตันที่มีอยู่อย่างท่วมท้นหัวใจและความปลื้มปีติเอาไว้ไม่ไหว ที่ได้เห็นพระองค์ทรงมีพระอาการดีขึ้นจนเสด็จฯออกจาก รพ. ได้แล้ว ถึงกับร่ำไห้น้ำตานองหน้า เพราะไม่คาดคิดว่าจะได้ชื่นชมพระบารมีอย่างใกล้ชิด
นายกฯ-ภริยาและ ครม.ส่งเสด็จใกล้ชิด
ขณะเดียวกัน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยคุณหญิงพจมาน ชินวัตร พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกฯ น.พ.สุชัย เจริญรัตนกุล รองนายกฯ นายพินิจ จารุสมบัติ รมว.สาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รมช.สาธารณสุข นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รมว. คมนาคม ที่มาเข้าเฝ้าฯ อยู่ที่อาคารเฉลิมพระเกียรติ ได้ก้มกราบพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขณะประทับพระเก้าอี้รถเข็นไฟฟ้าออกจากอาคารเฉลิมพระเกียรติ ผ่านทางเดินบริเวณหน้าอาคารสยามินทร์ ตรงไปยังศาลาศิริราช 100 ปี และตลอดทุกจุดที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯผ่านพสกนิกรที่เฝ้าส่งเสด็จ ต่างตื้นตันใจและพากันร่ำไห้ พร้อมเปล่งเสียงทรงพระเจริญตลอดเวลา แม้ เมื่อทรงเสด็จฯ ผ่านไปแล้วหลายคนยังไม่ยอมหยุดร้องไห้ โดยเฉพาะผู้เฒ่าผู้แก่จำนวนมากที่เดินทางมาจากต่างจังหวัด ได้ใช้ผ้าเช็ดน้ำตาและพากันพนมมือท่วมหัวกล่าวถวายพระพรให้ทรงพระเจริญอยู่เป็นมิ่งขวัญของพสกนิกรไทย ขณะที่ผู้สื่อข่าวหลายคนที่ไปทำข่าวและเห็นภาพบรรยากาศแห่งความประทับใจที่นับเป็นภาพประวัติศาสตร์ อีกวัน ต่างเก็บกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวได้ร่ำไห้ออกมาเช่นกัน
ทรงถวายสักการะพระบรมชนก-ชนนี
หลังเสด็จฯ ถึงศาลาศิริราช 100 ปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงถ่ายภาพประชาชนที่เฝ้ารอรับเสด็จฯ หน้าศาลาศิริราช 100 ปี ก่อนวางพวงมาลาสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดช วิกรม พระบรมราชชนก ที่แท่นวางพานซึ่งตั้งอยู่บริเวณหน้าศาลาศิริราช 100 ปี จากนั้นเสด็จฯ มายังพระราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระศรีนครินทร์ฯ ที่อยู่ด้านในอาคารและทรงถ่ายภาพพระราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระศรีนครินทร์ฯ ก่อนจะถวายพวงมาลาสักการะ และจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยแล้วทรงถวายสักการะพระราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี แล้วโบกพระหัตถ์ให้กับประชาชนที่มาเฝ้าส่งเสด็จฯ พร้อมทั้งถ่ายภาพประชาชนผู้มาเฝ้ารับเสด็จฯภายในศาลาศิริราช 100 ปีอีกครั้ง เป็นที่ปลาบปลื้มแก่ประชาชน
ทรงถ่ายภาพ-โบกพระหัตถ์ให้พสกนิกร
จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกจากศาลาศิริราช 100 ปี ประทับรถยนต์พระที่นั่งซึ่งจอดอยู่ที่ทางเข้าอาคาร 72 ปี เสด็จออกจากโรงพยาบาลศิริราช กลับพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน โดยใช้เส้นทางถนนอรุณอมรินทร์ ข้ามสะพานพระราม 8 ลงถนนวิสุทธิกษัตริย์ แล้วเลี้ยวซ้ายที่แยกกระทรวงเกษตรฯ เข้าถนนราชดำเนินนอก ผ่านสะพานมัฆวานรังสรรค์ เลี้ยวขวาที่ลานพระบรมรูปทรงม้าเข้าถนนศรีอยุธยาแล้วเลี้ยวซ้ายที่แยกวัดเบญจมบพิตร เข้าถนนพระราม 5 ไปยังพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน โดยขบวนรถยนต์พระที่นั่งได้เคลื่อนอย่างช้าๆ เพื่อให้ประชาชนสองข้างทางที่มาเฝ้าส่งเสด็จฯได้ชื่นชมพระบารมีอย่างใกล้ชิด โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโบกพระหัตถ์ให้ประชาชนสองข้างทาง พร้อมกับถ่ายภาพประชาชนเป็นระยะ ท่ามกลางเสียงพสกนิกรถวายพระพรตลอดเส้นทาง
ทหารตบเท้าเข้าแถวส่งเสด็จพร้อมเพรียง
ขณะเดียวกัน ที่หน้ากองบัญชาการกองทัพบก ถนนราชดำเนิน ได้มีคณะนายทหารออกมาตั้งแถวรับเสด็จกันอย่างพร้อมเพรียง ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมหน่วยขึ้นตรงต่อกองทัพบกประจำเดือนสิงหาคม ที่มี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ.เป็นประธานการประชุม อาทิ พล.อ. วิชิต ยาทิพย์ รองผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ไพโรจน์ พานิชสมัย ประธานที่ปรึกษาพิเศษกองทัพบก พล.อ.พรชัย กรานเลิศ ผู้ช่วย ผบ.ทบ. พล.อ.ไพศาล กตัญญู ผู้ช่วย ผบ.ทบ. พล.อ.โสภณ ศีลพิพัฒน์ เสนาธิการทหารบก พร้อมด้วยแม่ทัพภาคต่างๆ คณะนายทหารระดับสูงและผู้บังคับกองพัน โดย พล.อ.สนธิ และผู้บัญชาการเหล่าทัพ เดินทางไปรอเฝ้าส่งเสด็จที่โรงพยาบาลศิริราช
ชาวกระทรวงเสมาเฝ้าชื่นชมพระบารมี
นอกจากนี้ที่หน้ากระทรวงศึกษาธิการ นายรุ่ง แก้วแดง รมช.ศึกษาธิการพร้อมด้วยคุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา ปลัดกระทรวงศึกษาธิการนำข้าราชการในกระทรวงและเจ้าหน้าที่ พร้อมผู้สื่อข่าวประจำกระทรวง รวมทั้งนักเรียนจากโรงเรียนต่างๆ ในละแวกนั้น มารอส่งเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยทั้งหมดพากันโบกธงชาติและธงตราสัญลักษณ์ฉลองสิริราชสมบัติ 60 ปี เมื่อขบวนเสด็จผ่านประชาชน ทุกคนต่างพากันเปล่งเสียงทรงพระเจริญและหลายคนพากันร่ำไห้ เมื่อเห็นพระพักตร์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
อัศจรรย์ท้องฟ้าร่มเย็นช่วงเสด็จฯกลับ
ส่วนบรรยากาศที่โรงพยาบาลศิริราช ระหว่างที่ประชาชนมารอเฝ้าส่งเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น เป็นที่น่าสังเกตว่า แดดที่ร้อนระอุเจิดจ้ากลับร่มเย็นขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ประชาชนที่เฝ้าส่งเสด็จต่างแสดงความชื่นชมในพระบารมีคุ้มเกล้าฯ นอกจากนี้ระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯผ่านยังอาคารต่างๆนั้น พสกนิกรที่รอส่งเสด็จที่ลานพระบรมราชานุสาวรีย์ฯสมเด็จพระบรมราชชนก เมื่อเห็นพระองค์เสด็จประทับพระเก้าอี้รถเข็นไฟฟ้า และทรงกล้องถ่ายภาพพสกนิกรหน้าอาคาร ต่างพากันโบกธงและเปล่งเสียงว่าทรงพระเจริญกันอย่างกึกก้อง พร้อมกับร่ำไห้หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯกลับแล้ว ประชาชนเหล่านี้ยังรวมตัวกันอีกครั้งที่ลานพระราชานุสาวรีย์ฯ ร่วมร้องเพลงสดุดีมหาราชา ถวายพระพรเสียงดังกึกก้องยาวนานกว่าครึ่งชั่วโมง ก่อนสลายตัวกันกลับบ้านอย่างอิ่มเอมหัวใจ
กรูแย่งพวงมาลานำกลับไปบูชา
ขณะที่บริเวณศาลาศิริราช 100 ปี ได้มีประชาชนกลุ่มหนึ่งกรูเข้ามาแย่งพวงมาลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์นำมาสักการะพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี จนเกิดการชุลมุนขึ้น เพราะประชาชนต้องการนำพวงมาลากลับไปบูชา เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของทางโรงพยาบาลศิริราชต้องเข้ามาห้ามปราม และนำที่กั้นมาวางไว้ไม่ให้ ประชาชนเข้าไปภายในบริเวณพระราชานุสาวรีย์
ปลื้มใจได้นอนเฝ้าในหลวง 17 วัน
นายศิริชัย ศิริวานิช อายุ 34 ปี ชาวจังหวัดบุรีรัมย์ ที่มาเฝ้าติดตามพระอาการประชวรที่ รพ.ศิริราช เปิดเผยด้วยความตื้นตันใจ ว่า ตนเองมีอาชีพทำสวน ทำไร่ หลังทราบข่าวว่า ในหลวงจะทรงเข้ารับการผ่าตัดในวันที่ 20 ก.ค. ได้นั่งรถทัวร์จากบุรีรัมย์เพียงคนเดียว เดินทางมาที่ รพ.ศิริราช นอนค้างคืนตั้งแต่วันที่ 19 ก.ค. ก่อนที่พระองค์ท่านจะเสด็จ 1 วัน เพื่อเฝ้ารอส่งเสด็จและไม่กลับบ้าน โดยอาศัยกินนอนอยู่ที่ใต้อาคารเฉลิมพระเกียรติมาตลอดรวม 17 วัน โดยจะนั่งที่จุดเดิมทุกวัน เพราะใกล้ชิดกับเส้นทางที่ทุกพระองค์จะเสด็จฯผ่าน เพื่อขึ้นลิฟต์ไปเยี่ยมพระอาการประชวร ทำให้มีโอกาสได้ เข้าเฝ้าใกล้มาก ถือว่าเป็นบุญ และรู้สึกปลาบปลื้มใจอย่างที่สุดที่ในหลวงหายประชวรแล้ว โดยเฉพาะครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ได้เห็นพระองค์ท่านอย่างใกล้ชิดที่สุดจึงดีใจมาก จากนี้ก็จะกลับบ้านไปทำไร่ทำสวนต่อไป และขอให้พระองค์ทรงมีสุขภาพแข็งแรงตลอดไป
ตื้นตันใจที่ทรงปลอดภัยและแข็งแรง
นางบัวลา มาสง อายุ 50 ปี เดินทางมาจากจังหวัดศรีสะเกษ กล่าวว่า ตั้งแต่ทรงประชวรได้มาพักค้างแรมที่บ้านลูกสาวย่านพรานนก เพื่อติดตามพระอาการของพระองค์ทุกวัน เมื่อทราบว่าจะเสด็จฯกลับในวันที่ 4 ส.ค. ได้มาจองที่นั่งตั้งแต่ 6 โมงเช้า และได้เห็นพระพักตร์ของพระองค์สมดังที่ตั้งใจไว้ ดูพระองค์ทรงแข็งแรงและสดชื่น ตนถึงกับร้องไห้กลั้นน้ำตาไม่อยู่เพราะตื้นตันใจ ขอให้พระองค์อยู่เป็นมิ่งขวัญของพสกนิกรชาวไทยตราบนานเท่านาน ทั้งนี้ จะกราบพระทุกวัน ขอพรให้ พระองค์ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง เช่นเดียวกับนางทองอ่อน นวีภพ วัย 74 ปี เดินทางมาจากย่านพระโขนง กล่าวว่า เดินทางมาเฝ้าติดตามพระอาการพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อเห็นพระพักตร์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รู้สึกภูมิใจ ปลาบปลื้ม น้ำตาไหล แม้ตายก็ไม่เสียดายชีวิต อยากให้พระองค์ท่านมีความสุข โดยจะได้ไหว้พระสวดมนต์ขอพรให้ท่านทุกวัน
นายกฯ ให้ทุกฝ่ายสามัคคีเพื่อในหลวง
ภายหลังเข้าเฝ้าส่งเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินออกจาก รพ.ศิริราช เพื่อไปพักฟื้นพระอาการประชวร พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์ที่พรรคไทยรักไทย ถนนเพชรบุรี เมื่อเวลา 16.30 น. ถึงการเสด็จพระราชดำเนินออกจากโรงพยาบาลศิริราช ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่าได้ ไปเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และขณะที่พระองค์ เสด็จกลับ ประชาชนได้เห็นพระพักตร์ของพระองค์และพากันร้องไห้ด้วยความปลาบปลื้ม คิดว่าวันนี้คนไทยมีความสุขมากที่พระองค์ทรงหายประชวร เสด็จกลับไปประทับที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน จึงถือเป็นวันที่ดีมาก คิดว่าวันนี้คนไทยจะต้องมีความรักและสามัคคีกัน เพื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะมีกำลังพระหทัย และหายประชวรโดยเร็ว ทุกคนจึงควรหันหน้าสามัคคีกันเพื่อประโยชน์ของประเทศ และทุกคนก็ทำหน้าที่ของตัวเอง เคารพกติกาที่มีอยู่ ก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุด
รายงานทั่วโลกในหลวงเสด็จออกจาก รพ.
วันเดียวกันนี้สำนักข่าวเอพี เอเอฟพีและรอยเตอร์ ต่างรายงานข่าวเกี่ยวกับการเสด็จออกจากโรงพยาบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภายหลังเสด็จเข้ารับการรักษาพระปิฐิกัณฐกัฐิ (กระดูกสันหลัง) ที่โรงพยาบาลศิริราช เพื่อไปประทับพักฟื้นที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน โดยประชาชนหลายแสนคนที่มารอส่งเสด็จฯด้านนอกโรงพยาบาลศิริราช ต่างเปล่งเสียงถวายพระพร “ทรงพระเจริญ” บางคนยกมือขึ้นเหนือศีรษะ เพื่อถวายพระพรแด่ในหลวงซึ่งประทับนั่งบนรถวีลแชร์ โดยพระองค์ได้ทรงโบกพระหัตถ์ทักทายประชาชนด้วย รายงานข่าวยังอ้างถึงแถลงการณ์ของสำนักพระราชวังที่ระบุว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระอาการดีขึ้นตามลำดับและกำลังพระกล้ามเนื้อดีขึ้นเร็วกว่าที่คาด ในแถลงการณ์ยังระบุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชกระแสขอบพระทัยและขอบใจทุกฝ่ายที่แสดงความห่วงใยในพระอาการประชวร