หน้า 1 จากทั้งหมด 2

โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ มิ.ย. 02, 2006 6:59 pm
โดย Amelia
<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>มาจากน้ำใจ

เป็นที่รู้กันทั้งแผ่นดินว่า “ในหลวงไม่โปรดฟุ่มเฟือย”
ในการฉลองต่างๆที่รัฐบาลจะจัดให้นั้น จะมีพระราชดำรัสเตือนอยู่เสมอว่าให้จัดอย่างประหยัด

ท่านผู้หญิง บุตรี วีระไวทยะ เคยกล่าวในการบรรยายเรื่อง “พระบรมราชาธิราช” ในปี 2539 ที่จัดโดยมหาวิทยาลัยศิลปากรว่า

“...การถวายของให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่จำเป็นจะต้องแพง อะไรที่มาจากน้ำใจจะทรงใช้ทั้งนั้น...”
กระป๋องคนจน </span>
ข้าราชบริพารใกล้ชิดพระองค์ทุกคนเห็นพระราชจริยวัตรประหยัดจนฝังจำในใจ
พระราชจริยวัตรงดงามนี้เล่ากันว่าสืบเนื่องมาจากการปลูกฝังเมื่อครั้งทรงพระ เยาว์

เคยรับสั่งเล่าว่า ส[SIZEมเด็จพระศรีนครินทรทราบรมราช้อนชานนีจะทรงตั้งกระป๋องออมสินไว้กลางที่ประทับ
รับสั่งว่านี่คือ “กระป๋องคนจน” เพื่อให้พระโอรสธิดาทั้ง 3 พระองค์ ทรงฝึกประหยัดอดออมนำเงินที่เหลือใช้มาใส่กระป๋องใบนี้

เมื่อถึงสิ้นเดือนจะทรงเรียกประชุมทั้งสามพระองค์ว่า จะนำเงินก้อนนี้ไปทำประโยชน์อะไร หรือทำกิจกรรมเพื่อคนยากจนอย่างไร

ข้อมูลจาก ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 5 ธันวาคม 2546
</span></span>[/B][/SIZE][/B]

โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ มิ.ย. 02, 2006 7:00 pm
โดย Amelia
ทรงเป็นตัวอย่าง

คำบอกเล่าของท่านผู้หญิง บุตรี วีรไวทยะ ในงานเสวนา “เรื่องที่คนไทยอยากรู้”
ให้แง่คิดกับคนไทยในยุคที่ “การบริโภคคืออำนาจ” อย่างดียิ่ง
พระราชจริยวัตรส่วนพระองค์ที่ขอสรุปเป็นข้อๆนี้
อาจเตือนสติคนไทยได้บ้างไม่มากก็น้อย

๑.)ของใช้ส่วนพระองค์ ไม่จำเป็นต้องแพง ไม่ต้องมีแบรนด์เนม น้อยครั้งที่จะทรงแสดงพระราชประสงค์เป็นพิเศษ

๒.)ผู้ที่ได้ร่วมโต๊ะเสวยหลายครั้ง จะสังเกตเห็นว่าทุกพระองค์ไม่เคยเสวยเหลือทิ้ง จะทรงตักพระกระยาหารแต่พอดี

๓.)รับสั่งกับข้าราชบริพารผู้ที่มีหน้าที่ถวายเอกสารต่างๆว่า หากใส่ซองแล้วก็ขอให้ติดกาวเฉพาะตรงมุม หรือถ้าผนึกด้วยเทปกาวก็ขอให้ใช้แต่เพียงสั้นๆสักสองนิ้ว กระดาษและซองเอกสารหากไม่ใช่เอกสารสำคัญให้ใช้กระดาษรีไซเคิล

๔.)ทรงใช้ดินสอปีละ ๑๒ แท่ง จะทรงใช้จนดินสอสั้นกุด จนกว่าจะทรงใช้ต่อไม่ได้

๕.)ทรงประหยัดพลังงานมานานแล้ว มีรับสั่งกับข้าราชบริพารเสมอว่า นั่งรถคนละคัน เป็นการสิ้นเปลือง ให้นั่งรวมกัน ยกเว้นกรณีตามเสด็จในพระราชพิธีสำคัญ

๖.)ไม่โปรดให้ขบวนรถเสด็จยาวเหยียด โปรดให้ขบวนรถสั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้

ข้อมูลจาก “ธ ทรงเป็นผู้นำแห่งความมัธยัสถ์” คมชัดลึก ฉบับวันที่ 31 กรกฎาคม 2548
[SIZE=7]

โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ มิ.ย. 02, 2006 7:01 pm
โดย Amelia
<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>ห้องทรงงาน

ขณะที่ห้องทำงานของบุคคลสำคัญของโลกนั้นอาจตกแต่งอย่าหรูหรา ประดับประดาด้วยของมีค่าหรือเฟอร์นิเจอร์ราคาแพง
แต่สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของคนไทยนั้น
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เคยทรงเล่าว่า
“…สำนักงานของท่านคือห้องกว้างๆ ไม่มีเก้าอี้ มีพื้นและท่านก็ก้มทรงงานอยู่กับพื้น...”

ในห้องทรงงานจะมีเพียงโต๊ะเตี้ยๆและที่ประทับทรงงานเป็นเบาะที่วางกับพื้น
โดยของที่ทรงใช้ประจำจะวางอยู่ในรัศมีที่ทรงเอื้อมถึง

ในห้องจะเต็มไปด้วยอุปกรณ์ที่ต้องทรงใช้ในพระราชกิจ
ประกอบด้วยหนังสือตำราต่างๆ ปทานุกรมหลากหลายภาษา ตลอดจนคู่มือคอมพิวเตอร์
และข้าวของเครื่องใช้ที่ล้วนเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการใช้งานจริง


เล่าต่อกันมาว่า ห้องทรงงานนี้ยากยิ่งที่จะแยกออกว่าเป็นห้องสมุด ห้องแผนที่
ศูนย์โทรศัพท์ ห้องคอมพิวเตอร์ หรือห้องเก็บสัมภาระกันแน่
เพราะมีทั้งหนังสือและอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้เต็มไปหมด
จนเหลือเนื้อที่พอจะทรงพระดำเนินได้เฉพาะองค์เท่านั้น
ใครเข้าไปหากไม่ระวังอาจกระแทกเข้ากับสิ่งของจนเจ็บตัวได้



ข้อมูลจาก สยามรัฐ ฉบับวันที่ 19 สิงหาคม 2542 </span>

โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ มิ.ย. 02, 2006 7:11 pm
โดย Amelia
<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>จากหนังสือครองใจคน

" เก็บร่ม"

การเสด็จพระราชดำเนินทุกครั้ง แม้จะต้องเผชิญกับแดดร้อนหรือลมแรง
ราษฎรก็ไม่เคยย่อท้อที่จะอดทนรอรับเสด็จให้ถึงที่สุด
แม้ฝนจะตกหนักแค่ไหนก็ไม่มีใครยอมกลับบ้าน

ร้อยเอกศรีรัตน์ หริรักษ์ เล่าไว้ในบทความ "พระบารมีปกเกล้าฯ ที่อำเภอท่ายาง"
ตีพิมพ์ในหนังสือ "72พรรษาบรมราชาธิราชเจ้านักรัฐศาสตร์" ว่า
ครั้งหนึ่งที่โครงการห้วยสัตว์ใหญ่ เมื่อเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งเสด็จมาถึง
ปรากฏว่าฝนตกลงมาอย่างหนัก ราษฎรและข้าราชการที่มาเข้าแถวรอรับเสด็จต่างเปียกปอนกันหมด
แต่ก็ยังตั้งแถวเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่อย่างนั้น

เมื่อพระบาทสมเด็จพรเจ้าอยู่หัวเสด็จลงจากเฮิลิคอปเตอร์ นายตำรวจราชองครักษ์ที่ตามเสด็จได้เข้าไปกางร่มถวาย
ทรงทอดพระเนตรเห็นบรรดาข้าราชการและราษฏรที่มายืนตั้งแถวรอรับเสด็จอยู่ต่าง ก็เปียกฝนโดยทั่วกัน

"...จึงมีรับสั่งให้นายตำรวจราชองค์รักษ์เก็บร่ม แล้วทรงพระดำเนินเยี่ยมข้าราชการและราษฎรที่เข้าแถวรอรับเสด็จ
โดยทรงเปียกฝนเช่นเดียวกับข้าราชการ และราษฎรทั้งหลายที่ยืนรอรับเสด็จในขณะนั้น..."



ทุกข์ซ้ำซ้อนของอิสาน

ฝนหลวงที่พระราชทานจากฟ้า หยาดลงมาโดยพระราชดำริที่ก่อเกิดขึ้นในคราวเสด็จฯ อิสานนี่เอง
ระหว่างเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินอันทุรกันดารสู่กาฬสินธุ์ ทรงพบว่าอิสานนั้นเป็นดินแดนแห่งทุกข์ซ้ำซ้อน

ณ จุดรับเสด็จที่แยกกุฉินารายณ์และสหัสขันธ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสอบถามราษฎรเกี่ยวกับผลิตผลข้าว

ทรงบันทึกไว้ใน “The Rain Making Story” ที่ขอพระราชทานอัญเชิญบางส่วนมาลง ณ ที่นี้ว่า

“ข้าพเจ้าคิดว่าความแห้งแล้งต้องทำลายผลิตผลของพวกเขา แต่ข้าพเจ้าต้องประหลาดใจ ราษฎรเหล่านั้นกลับรายงานว่าพวกเขาเดือดร้อนเพราะน้ำท่วม
สำหรับข้าพเจ้าเป็นการแปลกเพราะพื้นที่แถบนั้นมองดูคล้ายทะเลทราย มีผงฝุ่นดินกระจายอยู่ทั่วไป แท้จริงแล้วพวเขามีทั้งน้ำท่วมและฝนแล้ง
นั่นคือทำไมประชาชนทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือถึงยากจน”
</span>[B]

โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ มิ.ย. 02, 2006 7:12 pm
โดย Amelia
<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>กำเนิดฝนหลวง

เมื่อทรงสัมผัสความทุกข์ซับซ้อนของประชาชนอันเนื่องมากจากเรื่องของ “น้ำ” อันเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการดำรงชีวิต

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้บัดนั้นมีพระชนมพรรษาเพียง 28 พรรษา และเพิ่งเสด็จพระราชดำเนินอิสานครั้งแรกในพระชนม์ชีพ
ก็ทรงเฝ้าครุ่นคิดถึงแต่วิธีที่จะแก้ไขปัญหาให้ชาวอิสาน

ปัญหาที่ขัดแย้งกันเอง เมื่อมีน้ำ น้ำก็มากไป ท่วมบ่าจาภูเขาไม่มีสิ่งใดหยุดยั้งไว้ได้
แต่เมื่อน้ำหมดก็แห้งแล้งอย่างที่สุด เพราะไม่มีฝนตกลงมา

ทรงบันทึกว่า

“ต้องสร้างเขื่อนเล็กๆ (Check dams) จำนวนมาก ตามลำธารที่ไหลลงมาจากภูเขาต่างๆ จะช่วยให้กระแสน้ำค่อยๆไหลอย่างสม่ำเสมอ
ถ้าเป็นไปได้ควรสร้างเขื่อนและอ่างเก็บน้ำเล็กๆ สิ่งนี้จะแก้ไขปัญหาแห้งแล้งได้
ในฤดูฝนน้ำจะถูกเก็บไว้ในอ่างเก็บน้ำและจัดสรรน้ำให้ในฤดูแล้ง”

ส่วนปัญหาเรื่องฝนแล้งนั้น

“ ข้าพเจ้าได้แหงนดูท้องฟ้า และพบว่ามีเมฆจำนวนมาก แต่เมฆเหล่านั้นพัดผ่านพื้นที่แห้งแล้งไป วิธีแก้ไขอยู่ที่ว่าจะทำอย่างไรที่จะให้เมฆเหล่านั้นตกลงมาในท้องถิ่นนั้น ความคิดนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของการทำฝนเทียม”
</span>

โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ มิ.ย. 02, 2006 7:14 pm
โดย Amelia
<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>ฝนหยาดแรก

อีก 17 ปีต่อมา “ฝนเทียม” ตามพระราชดำริในวันเสด็จฯ เยี่ยมอีสาน ก็กลายเป็น “ฝนหลวง” ที่หยาดลงมาสร้างความชุ่มฉ่ำทั้งแผ่นดินครั้งแรก ในวันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2515

วันนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงวางแผนสาธิตการทำฝนด้วยพระองค์เอง จนเกิด “ฝนหลวง” ตกลงมาเป็นผลสำเร็จ และตกลงสู่เป้าหมายอ่างเก็บน้ำเขื่อนแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี อย่างแม่นยำ

ล่วงจนถึงปี 2548 ปีที่ 59 แห่งรัชกาล ประเทศไทยก็ยังเผชิญภัยแล้ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงเจริญพระชนมายุ 78 พรรษา ก็ยังทรง “คุมงาน” เพื่อทรงบัญชาการเครื่องบินทำฝนเทียมทั่วประเทศด้วยพระองค์เอง

ทรงต่อสู้ทุกวิถีทางเพื่อให้ราษฎรได้มี “น้ำ”
เพราะ “การมีน้ำ” นั้นหมายความถึง “การมีชีวิต”



คนกับน้ำ

“…หลักสำคัญว่าต้องมีน้ำบริโภค น้ำใช้ น้ำเพื่อการเพาะปลูก
เพราะว่าชีวิตนั้นอยู่ที่น้ำ ถ้ามีน้ำคนอยู่ได้ ถ้าไม่มีน้ำ คนอยู่ไม่ได้
ไม่มีไฟฟ้าคนอยู่ได้ แต่ถ้ามีไฟฟ้าไม่มีน้ำ คนอยู่ไม่ได้”

พระราชดำรัสนี้ พระราชททานแก่คณะผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอ ันเนื่องมาจากพระราชดำริ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2529
</span>

โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ มิ.ย. 02, 2006 7:16 pm
โดย Amelia
<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>ต่อไปจะมีน้ำ

บทความ “น้ำทิพย์สาดเป็นสายพรายพลิ้วทิวงาม ทั่วเขตคามชื่นธารา”
เขียนโดย มนูญ มุกข์ประดิษฐ์ ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 5 ธันวาคม 2528
ได้เล่าให้ผู้อ่านชาวไทยได้ประจักษ์ถึง
เรื่องอัศจรรย์ของ “ในหลวง” กับ “น้ำ” ที่เกิดขึ้นในค่ำวันหนึ่งของเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2528

ด้วยความทุกข์ที่เปี่ยมล้นใจอันเนื่องมาจากต้องเผชิญความแห้งแล้วอย่างหนัก
หญิงชราคนหนึ่งที่มาเฝ้าฯ รับเสด็จได้คลานเข้ามากอดพระบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
กราบบังคมทูลด้วยน้ำตาอาบแก้ม

ขอพระราชทานน้ำ


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสตอบว่า

“ยายไม่ต้องห่วงแล้วนะ
ต่อไปนี้จะมีน้ำ
เราเอาน้ำมาให้”

แล้วพระบาทสมเด็จพรเจ้าอยุ่หัวก็ทรงพระราชดำเนินกลับไปยังรถพระที่นั่ง ซึ่งจอดห่างออกไปราว 5 เมตร

ปรากฏว่าท่ามกลางอากาศที่ร้อนแล้ง จู่ๆก็เกิดฝนตกลงมาเป็นครั้งแรกในรอบปี
ทำให้ผู้ตามเสด็จและราษฎรในที่นั้นถึงกับงุนงงไปตามๆกัน
</span>

โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ มิ.ย. 02, 2006 7:20 pm
โดย Amelia
<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>ข้อความจากหนังสือ ครองใจคน ค่ะ อยากเอามาฝากกัน

พุทธศักราช2513 เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์ที่จะเสด็จพระราชดำเนิน
ไปเยี่ยมราษฎรในตำบลหนึ่งของอำเภอเมืองพัทลุง อันเป็นแหล่งที่ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ปฏิบัติการรุนแรงที่สุดในภาคใต้เวล านั้น

ด้วยความห่วงใยอย่างยิ่งล้น ทางกระทรวงมหาดไทยได้กราบบังคมทูลขอให้ทรงรอให้สถานการณ์ดีขึ้นกว่าที่เป็นอ ยู่เสียก่อน

แต่คำตอบที่ทางกระทรวงมหาดไทยได้รับก็คือ

"ราษฎรเขาเสี่ยงภัยกว่าเราหลายเท่า เพราะเขาต้องกินอยู่ที่นั่นเขายังอยู่ได้
แล้วเราจะขลาดแม้แต่จะไปเยี่ยมเยียนทุกข์สุขของเขาเชียวหรือ"



จากหนังสือครองใจคน

ปลายปี2498 เมื่อชาวอิสานทราบข่าวดีว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
จะเสด็จฯ เยี่ยมอิสานเป็นเวลายาวนานถึง 19 วัน ระหว่างวันที่ 2-20 พฤศจิกายน 2498
จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าชาวอิสานจะรู้สึกตื่นเต้นดีใจเพียงใด

เพราะอิสานเวลานั้นแห้งแล้งเหลือแสน ยังไม่มีอ่างเก็บน้ำชลประทานดังเช่นในปัจจุบัน
เส้นทางรถยนต์ในยุคนั้นก็ยังเป็นดินแดงๆ ทุรกันดาร
น้ำพระราชหฤทัยที่แสดงออกด้วยการเจาะจงเสด็จฯ เยี่ยมอิสาน
จึงเป็นเสมือนน้ำฝนเย็นฉ่ำที่หยาดลงมาบนผืนดินที่แห้งผาก

ยังไม่ทันที่พระองค์จะเสด็จฯ มาถึง น้ำพระทัยที่เย็นดุจสายฝนหยดแรกก็หยาดนำทางลงมาเสียแล้ว
เมื่อมีข่าวว่า กรมทางหลวงเตรียมน้ำ “น้ำ” มาราดถนนทางเสด็จพระราชดำเนิน
เพื่อมิให้ถนนเกิดฝุ่นแดงคลุ้งเมื่อรถพระที่นั่งแล่นผ่าน

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชกระแสรับสั่งห้ามว่า

ไม่ให้นำ “น้ำ” ซึ่งเป็น “ของมีค่าหายาก” มาราดถนนรับเสด็จ แต่ให้สงวนน้ำไว้ให้ราษฎรใช้อาบกิน

</span>


 &nsbp; &nsbp;

โพสต์โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 11, 2006 4:07 am
โดย Amelia
อ่านในกระทู้เว็บหนึ่งเจอว่า มีฝรั่งถามเขาว่า ทำไมคนไทยใส่เสื้อสีเหลือง และทำไมคนรักในหลวง เขาเอารูปนี้ให้ดูโดยไม่ต้องอธิบายมาก ฝรั่งตอบว่า ผมรู้แล้วว่า ทำไมคนไทยรักในหลวง

รูปภาพ

โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 28, 2006 8:25 am
โดย luck
สวัสดีค่ะ

อ่านทุกเรื่องรู้สึกประทับใจพระองค์ท่านมากๆค่ะ เป็นบุญของตัวเองเหลือเกินที่ได้รับพระราชทานปริญาบัตรจากพระองค์ท่าน เป็นบุญจริงๆ ค่ะ

โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 28, 2006 8:38 am
โดย momo
<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>เป็นคนไทยคนหนึ่งในหลายๆล้านคนที่รักประเทศไทยและในหลวงอย่างที่สุด</span>

Flag Thailand Flag Thailand Flag Thailand

โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร ส.ค. 08, 2006 8:36 pm
โดย แน๊ตตี้
อ่านแล้วยิ่งทำให้ภาคภูมิใจมากขึ้น
ที่เกิดมาเป็นคนไทยค่ะ

โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 01, 2006 6:35 am
โดย แน๊ตตี้
ขอเข้ามาแจมด้วยคนนะคะพี่แจ๋

<span style='color:blue'><span style='font-size:14pt;line-height:100%'>หลากเหตุผลที่คนไทยรักในหลวง </span></span>
".... ผมเคยอยู่มาแล้วหลายแผ่นดิน แต่ก็ไม่เคยเห็นว่าพระเจ้าอยู่หัวแผ่นดินใดที่คนทั้งเมืองเขาเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ ให้ความเคารพบูชาอย่างสนิทสนมอย่างทุกวันนี้
...พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลก่อน ๆ ทรงครองแผ่นดิน แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลนี้ทรง "ครองใจคน.."

หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช

เรื่อง "เดิมพันของเรา"

ครั้งหนึ่ง เมื่อหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช กราบบังคมทูลถามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า "เคยทรงเหนื่อย ทรงท้อบ้างหรือไม่"
ครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชกระแสตอบว่า
ความจริงมันน่าท้อถอยหรอก บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ว่าฉันท้อไม่ได้ เพราะเดิมพันของเรานั้นสูงเหลือเกิน เดิมพันของเรานั้นคือบ้านคือเมือง คือความสุขของคนไทยทั่วประเทศ
ข้อมูลจาก ไทยรัฐ ฉบัย 5 ธ.ค.32


เรื่อง "ราษฎรยังอยู่ได้"

ปีพุทธศักราช 2513 เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์ที่จะเสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมราษฎรในตำบลหนึ่งของอำเภอเมืองพัทลุง อันเป็นแหล่งที่ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ปฏิบัติการรุนแรงที่สุดในภาคใต้เวลานั้น
ด้วยความห่วงใยอย่างยิ่งล้น ทางกระทรวงมหาดไทยได้กราบบังคมทูลขอให้ทรงรอให้สถานการณ์ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่เสียก่อน แต่คำตอบที่ทางกระทรวงมหาดไทยได้รับก็คือ
ราษฎรเขาเสี่ยงภัยยิ่งกว่าเราหลายเท่า เพราะเขาต้องกินอยู่ที่นั่นเขายังอยู่ได้ แล้วเราจะขลาดแม้แต่จะไปเยี่ยมเยียนทุกข์สุขของเขาเชียวหรือ

ข้อมูลจากคำอภิปรายเรื่อง "พระบิดาประชาชน"


และมีอีกหนึ่งพระกระแส
พระราชดำรัสที่เป็นคำตอบว่าเหตุใดจึงไม่อาจหยุดทรงงานได้
...คนเราจะอยู่สุขสบายแต่คนเดียวไม่ได้ ถ้าคนที่อยู่ล้อมรอบมีความทุกข์ยาก ควรต้องแบ่งเบาความทุกข์ยากของเขาบ้าง ตามกำลังและความสามารถเท่าที่จะทำได้


<span style='font-size:14pt;line-height:100%'><span style='color:red'>ขอจงทรงพระเจริญ</span></span>

โพสต์โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ย. 03, 2006 2:57 pm
โดย บุษราคัม
อ่านทุกข้อควาวแล้วก็ทำให้รู้สึกปลื้มใจจนน้ำตาซึมเลยค่ะ รู้สึกว่าตัวเองมีบุญมากที่ได้เกิดมาในแผ่นดินที่มีพระมหากษัติย์ที่ทรงมีน้ำพระทัยงดงามเช่นพระองค์ท่านค่ะ

ขอพระองค์ทรงพระเจริญ

โพสต์โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ย. 03, 2006 3:18 pm
โดย มะละกอ
EM206ภูมิใจที่เกิดเป็นไทย อ่านแล้วซึ้งมากๆค่ะ