หน้า 1 จากทั้งหมด 2

โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ส.ค. 14, 2008 4:55 pm
โดย churace
<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>ได้อ่านและเก็บสะสมเรื่องราวเกี่ยวดี ๆ ของพระเทพไว้หลายเรื่อง เลยคิดอยากจะนำมาเล่าสู่กันฟังให้พี่ ๆ น้อง ๆ เพื่อน ๆ ที่อยู่ไกลบ้านได้อ่านเพื่อให้มีกำลังใจ มีความสุข และรักประเทศไทยของเราค่ะ

(http://www.themdo.info/html/magazine/mag2_51/pp_01.ht[COLOR=blue]ml)

พระอารมณ์ขันของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ๑

คราวหนึ่ง ในการเสด็จเยี่ยมราษฎรทางภาคเหนือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถและสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีได้ทรงแวะประทับค้างคืนที่หน่วยราชการแห่งหนึ่ง ซึ่งทรงคุ้นเคยกับบรรดาพนักงาน เจ้าหน้าที่เพราะได้เคยเสด็จไปประทับที่นั่นมาสามสี่ครั้งแล้ว คราวนี้ทางหน่วยราชการมีเวลาเตรียมตัวรับเสด็จค่อนข้างนาน จึงเตรียมต้นไม้ไว้ให้ทรงปลูก อันเป็นประเพณีที่นิยมปฏิบัติกันทั้งในต่างประเทศและในประเทศไทย เท่ากับเป็นการเน้นให้ประชาชนได้รู้สึกถึงคุณค่าของต้นไม้ ต้นไม้ที่หน่วยราชการแห่งนั้นเตรียมไว้ให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปลูก ได้แก่ ต้นมะขามหวานเพชรบูรณ์ซึ่งยกย่องกันว่าเป็นพันธุ์มะขามหวานรสดีที่สุดและราคาแพงที่สุด

ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งกับท่านผู้อำนวนการหน่วยงานแห่งนั้นว่า "ให้ปลูกมะขามหรือ... นี่คงจะเห็นฉันตัวโค้ง ๆ งอ ๆ เหมือนมะขามหรือไง" ท่านผู้อำนวยการถึงกับสั่น ครั้นกุมสติได้จึงกราบบังคมทูลพระกรุณาว่า

" พระราชอาญาไม่พ้นเกล้าฯ มะขามนั้นเป็นไม้ใหญ่ที่แข็งแรงคงทน อายุยืนมาก ก็ประสงค์ว่า อยากจะเห็นใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงพระเจริญมีพระชนมายุยืนนานเป็นที่พึงแก่ปวงข้าพระพุทธเจ้าและราษฎรชาวบ้านให้นานแสนนานพ่ะย่ะค่ะ"</span>

โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 15, 2008 1:22 am
โดย churace
<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>ถึงวาระสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีจะทรงปลูกบ้าง ต้นไม้ที่หน่วยราชการแห่งนั้นจัดเตรียมไว้คือ ต้นส้มโอ สมเด็จพระเทพฯ รับสั่งด้วยพระพักตร์ยิ้มแย้มสดชื่นว่า

"นี่คงจะเห็นฉันอ้วนตุ๊สมเป็นส้มโอละซี..." ท่านผู้อำนวยการหน้าซีด นึกเคืองอยู่เหมือนกันที่ลูกน้องฝ่ายจัดหาช่างกระไรไปเลือกเอาส้มโอ นิ่งคิดหาทางออกอยู่ครู่หนึ่งแล้วกลั้นใจกราบบังคมทูลว่า

"พระราชอาญาไม่พ้นเกล้าฯ ที่น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมให้ทรงปลูกส้มโอ ก็เพราะว่าชาวบ้านอำเภอนี้ถือว่าส้มโอคือบ่อเงินบ่อทองพะย่ะค่ะ... ปีๆ หนึ่งทำเงินเป็นสิบๆ ล้าน ขึ้นชื่อว่าส้มโอจังหวัดไหนๆ ก็สู้ของที่นี่ไม่ได้ เป็นสมบัติอันล้ำค่าทางการเกษตรพะย่ะค่ะ... ก็อยากจะให้พระบารมีคุ้มเกล้าฯ อย่าให้ส้มโอที่อื่นมาแย่งเอาตำแหน่งยอดส้มโอไปจากที่นี่พะย่ะค่ะ"

รับสั่งต่อด้วยอารมณ์ขันว่า "รับรองต้องตุ้มต๊ะตุ้มตุ้ยเหมือนคนปลูก" พระราชดำรัสประโยคนั้นรู้กันไปทั่วทั้งจังหวัด คุณลุงคุณป้าคุณย่าคุณยายน้ำหูน้ำตาไหล ปีติปลาบปลื้มว่าทรงเป็นกันเองกับชาวบ้านจริงๆ ไม่ถือพระองค์เลย และทรงมีอารมณ์ขันอย่างนึกไม่ถึง ยังเล่าขานกันต่อมาอีกหลายปี เพราะเมื่อใครไปเห็นส้มโอนั้น เจ้าหน้าที่ผู้รักษาดูแล ก็จะเล่าให้ฟังด้วยความชื่นชมโสมนัสและซาบซึ้งในพระเมตตาคุณของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีอย่างไม่เสื่อมคลาย</span>

โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 15, 2008 1:24 am
โดย churace
<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>เมื่อทรงพระเยาว์ สมเด็จย่าฯ ทรงเรียกอย่างเอ็นดูว่า "สลาตัน" เพราะไม่ค่อยจะอยู่นิ่ง ชอบวิ่งไปวิ่งมาอย่างรวดเร็วอยู่เสมอ ครั้นทรงเจริญวัยขึ้น อ่านหนังสือออกแล้ว ก็ทรงรักการอ่านเป็นอย่างยิ่ง จนใครๆ ในวังก็ถวายพระนามพระองค์ "หนอนหนังสือ" ยามเสด็จประพาสต่างประเทศ เห็นร้านหนังสือเป็นต้องทรงขอแวะและทรงหายเข้าไปเลือกซื้อหนังสืออยู่นานๆ ไม่ว่าจะเป็นการเสด็จอินเดีย ออสเตรเลีย หรือยุโรป พระองค์มีห้องสมุดส่วนพระองค์อยู่ที่วังสวนจิตรฯ ชั้นสองซึ่งทรงสะสมหนังสือไว้แทบจะทุกประเภท ทั้งวรรณคดี ประวัติศาสตร์ โบราณคดี และการท่องเที่ยว ทรงว่างไม่ได้ หากทรงว่างตอนไหนจะทรงพระอักษรตลอดเวลา แม้กระทั่งในเวลาที่ช่างทำพระเกศาถวายก็ทรงอ่านพระอักษรไปด้วย รับสั่งว่า "ไม่ค่อยจะมีเวลาอ่าน ทำผมไปอ่านไปก็คงไม่ว่ากันนะ"</span>

โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 15, 2008 1:29 am
โดย churace
<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>พระอารมณ์ขันของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ๒

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงประสบกับการท้าทายอย่างรุนแรงในแง่ของการประพันธ์ เมื่อเสด็จเยือนประเทศอังกฤษ เพื่อเข้าร่วมปะชุมทางวิชาการ และเสาะหาตำรับตำราจากร้านหนังสือเก่า วัตถุประวงค์หลักของการเสด็จเที่ยวนี้คือ การเข้าออกตามร้านหนังสือ และเพื่อจะทรงพบปะกับอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งแทบจะหาแง่มุมที่สนุกสนานไม่ได้เลย แต่ด้วยพระปรีชาสามารถ และความเชี่ยวชาญในเชิงประพันธ์ของพระองค์ท่าน ซึ่งได้เพิ่มพูนมากขึ้นทุกปี พระองค์ก็สามารถแก้ปัญหาผ่านพ้นอุปสรรคไปได้อย่างสวยงาม ด้วยการลงท้ายบทในหนังสือพระราชนิพนธ์ด้วยการนำข้อคิด หรือคติประจำวันแทรกเข้าไป หรือทรงหาเรื่องล้อเล่นผู้ตามเสด็จวันละเล็กละน้อย ทำให้บันทึกประจำวันในการเสด็จเยือนประเทศอังกฤษไม่แห้งแล้งแต่น่าอ่าน ได้รสชาติความขบขันไปอีกแบบหนึ่ง แตกต่างจากการเสด็จประเทศอื่นๆ ทรงขบขัน เมื่อเจ้าหน้าที่คนขายตั๋วเพื่อจะเข้าชมปราสาทวอริกถามว่า ในคณะมี "พลเมืองอาวุโส" ร่วมมาด้วยกี่คน เพราะ " พลเมืองอาวุโส" (Senior Citizen) เหล่านี้ จะได้ลดราคาเข้าชมครึ่ง</span>

โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 15, 2008 1:34 am
โดย churace
<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>ตอนที่น่าสนใจที่สุด เห็นจะได้แก่ตอนเสด็จไปชมบริติชมิวเซียม ซึ่งเป็นสถาบันที่อังกฤษเขาภูมิใจของเขามาก หนังสือสมุดไทยเก่าๆ สมัยโบราณเขามีเก็บไว้ที่นี่มากมาย มีอยู่เล่มหนึ่งซึ่งทรงโปรดมาก รับสั่งว่าติดใจมากจนต้องขอให้เขาถ่ายเอกสารมาให้ คือ "เรื่องราวพงษาวะดานอเมริกัน เล่ม ๑" ขึ้นต้นว่าดังนี้

"แต่ปางก่อนนานประมาณได้ ๓๕๐ ปี ฝ่ายฝูงคนทั้งหลายยังมิได้รู้ว่า เกาะและทวีปอเมริกานั้นอยู่ตำบลแห่งใด ครั้นอยู่มามีคนผู้หนึ่งชื่อว่า ก่ลำโบ เปน ชาวเมืองยินวย ก่ลำโบนั้นเปนคนมีสติปัญญามาก จึงคิดแต่ในใจของตนว่าพิภพนี้กลมดุจดั่งซ่มโอไปจากทวีปยุรบข้างทิศตะวันตกย่อมจะมีทวีปอยู่อีก ก่ลำโบนั้นเปนคนเขนใจไม่มีทรัพย์ที่จะต่อกำปั่น ก่ลำโบจึงเข้าไปหาเจ้าเมืองยินวยแล้วจึงกราบทูลเจ้าเมืองว่า ข้าพเจ้าจะขอคนและกำปั่น จะไปหาทวีปข้างทิศตะวันตก เจ้าเมืองนั้นก็ไม่ให้ แล้วก่ลำโบจึงเข้าไปหาเจ้าเมืองปโทดาๆ ก็ไม่ให้แล้วจึงเข้าไปหาเจ้าเมืองชแปน ๆ นั้นทรงพระนามชื่อว่าเฟอดินานดะ เจ้าเมืองนั้นก็ไม่ให้ คิดว่าก่ลำโบเปนคนโง่แล้วก่ลำโบจึงใช้ให้น้องชายไปขอกำปั่นแก่กระษัตรอังกฤษ ๆ ทรงพระนามชื่อว่า เหนเรที่เจ็ด กระษัตรก็ไม่ให้ฝ่ายก่ลำโบเที่ยวขอกำปั่นแก่เจ้าเมืองประมาณถึงแปดปี ครังนั้น อิสะเบลาผู้ เปนมเหษีเจ้าเมืองซแปนได้ให้กำปั่นแก่ก่ลำโบสามลำ คน ๔๐ คน ให้เสบียงอาหารไปกินแต่ภอปีหนึ่ง ขณะนั้นเปนวันสองค่ำ เดือนแปดศักราชพระเยซูได้ ๑๔๙๒ ศักราชไทยได้ ๘๕๔ ปี..."

เป็นไงครับ...นึกสงสารก่ลำโบมั้ย? ต้องเที่ยวไปขอกำปั่นจากกษัตริย์หลายประเทศเหลือเกิน ประเทศปโทดาน่ะ ใครพอจะนึกออกบ้างไหมว่า เป็นประเทศไหน อ่านสมุดข่อยเก่าๆ มันสนุกหยังงี้เอง สมเด็จพระเทพฯ ท่านโปรดสมุดข่อยเล่มนี้มาก จึงให้ถ่ายภาพอัดสำเนาไว้ เพื่อจะเอามาอวดนักอ่านชาวไทย ผู้ซึ่งคงนึกไม่ออกว่า โคลัมบัสจะกลายเป็น ก่ลำโบ ไปได้ยังไง

ก็คงจะแบบนี้หละ จึงได้มี " กินกะได ทากะได" เกิดขึ้น </span>

โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 15, 2008 1:42 am
โดย churace
<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>จากอังกฤษ ได้เสด็จต่อไปยังฝรั่งเศส และที่ปารีสก็ได้เสด็จเข้าชมพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ อันมีชื่อโด่งดังของโลก ทรงเล่าเกี่ยวกับรูปโมนาลิซาไว้ว่า

"ห้องเดียวกันนี้มีรูปนาลิซา หรือที่เรียกว่า La Joconde ภาพเอกของลีโอนาร์โด ดาวินชี เป็นรูปภาพเล็กนิดเดียวใส่กรอบกระจก แถมมีเชือกกั้น แต่ก็อนุญาตให้คนมาถ่ายรูปถ่ายวิดีโอได้โดยห้ามใช้แฟลช ที่มีชื่อเสียงเห็นจะเป็นเพราะความสามารถของลีโอนาร์โดในทางกายวิภาค สามารถเขียนปาก ตา ให้เคลื่อนไหวได้ ภาพนี้เคยถูกขโมยเอาไปจากอิตาลี หายไปสองปีก็ได้กลับคืน"

ทั้งหมดนี้ได้ทรงเล่าให้ฟังอย่างเป็นกันเองจริง ๆ ไม่มีปิดมีบัง อย่างตอนที่เสด็จลอนดอน ได้เสด็จไปดูละครก็ทรงเล่าว่า " ตอนค่ำไปดูละครเรื่อง Mousetrap ที่โรงละคร St. Martin เป็นเรื่องที่เล่นมาร่วม ๔๐ ปีแล้วยังมีคนดูแน่น เรื่องเป็นอย่างไรไม่ทราบเพราะหลับตลอดไม่ตื่นเลย"</span>

โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 15, 2008 1:52 am
โดย churace
<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>ลำดับต่อจากนั้นก็ได้เสด็จไปสวิตเซอร์แลนด์ แดนภูเขา คนทั่วไปเมื่อเห็นภูเขาก็จะได้แต่เพียงร้องว่า "ภูเขา...โอ้โฮ...สูงจริงๆ !" เพราะคนส่วนมากไม่เคยขึ้นเขา แต่สมเด็จพระเทพรัตนฯท่านทรงชำนาญเรื่องภูเขา มีเรื่องที่จะรับสั่งถึงภูเขาได้มากมาย ดังนี้

"ข้าพเจ้าคิดว่ารู้จักภูเขาดีพอสมควร ตั้งแต่เล็กๆ เวลาไปเชียงใหม่เราก็ได้เดินป่าขึ้นเขากัน ข้าพเจ้าก็เดินของข้าพเจ้าประสาเด็ก ขบวนใหญ่ ท่านก็เสด็จพระราชดำเนินของท่านไกลๆ เยี่ยมหมู่บ้านชาวเขา ท่านว่าเขายากจน เราไปแนะนำเขาในเรื่องการทำมาหากินได้"

"เมื่อโตพอแล้วก็ต้องเริ่มฝึกหัด โดยซ้อมเดิน-วิ่งขึ้นพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ ผ่านโค้งสูงชันตรงกองรักษาการณ์ตำรวจภูธร ที่เราแอบเรียกว่า "โค้งมรณะ" เราถูกสอนว่าเกิดเป็นคนไทยต้องอดทน จึงจะป้องกันชาติบ้านเมืองไว้ได้ อีกเหตุผลหนึ่งคือ ถ้าอยากเป็นนักพัฒนาที่ดี เราจะต้องมีแรงที่จะขึ้นไปให้กำลังใจชาวบ้านที่ปลุกพืชอยู่บนดอยซึ่งรถไปไม่ถึง"

"เวลาเราต้องปีนเขา เราจะซาบซึ้งในคำกวี...ว่าการนำตัวไปสู่ที่สูงเป็นสิ่งยาก เพราะต้องแบกน้ำหนักมากมายแต่เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ อีกอย่างหนึ่งคือจะแฝงด้วยความหมายแห่งการเสาะแสวงหาในสิ่งที่สูงส่ง จะเป็นความรู้หรือเป้าหมายในชีวิตอื่นๆ ภูเขาที่ตระหง่านท้าทายอยู่นั้น เตือนใจว่าทุกคนมีสิทธิ์ฝัน และก็สิทธิ์จะพบความเป็นจริงตามฝันนั้นด้วย"</span>

โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 15, 2008 1:56 am
โดย churace
"<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>ความอยาก ความรู้ ในแง่นี้เป็นเรื่องของความหวังความพึงพอใจ ต่างจากความอยากรู้ที่ในบทกวีภาษาเยอรมันที่ข้าพเจ้ายกมาเมื่อหลายวันก่อน"

"เช้าวันนี้เรารับประทานอาหารเช้าด้วยกัน มองเห็นหิมะขาวๆ แล้วข้าพเจ้ากับยาใจมีความเห็นตรงกันโดยไม่ได้นัดหมายคือ น่าจะเอาน้ำเขียวน้ำแดงมาราดทำน้ำแข็งกด..."

นักวิจารณ์วรรณคดีที่เป็นฝรั่งผู้ทรงคุณวุฒิ เคยกล่าวได้ว่า "เคล็ดลับของกวี คือจะต้องมีความเป็นเด็กอยู่เสมอ" การที่ทรงนึกถึงน้ำแข็งกด ตอนที่ได้เห็นหิมะในสวิตเซอร์แลนด์ แสดงว่าทรงเป็นกวีที่แท้จริง และเมื่อได้เสด็จไปทอดพระเนตรไดโนเสาร์ที่พิพิธภัณฑ์ ความเป็นเด็กอันน่าเอ็นดูของพระองค์ท่านก็ได้กลับคืนมาอีกดังที่ได้ทรงบันทึกปิดท้ายรายการชมพิพิธภัณฑ์ไว้ดังนี้

"วันนี้ดูจะหาวรรณคดีอะไรมากล่าวคงจะยากเพราะวรรณคดีที่เคยอ่าน ไม่เห็นมีที่เขาชมไดโนเสาร์ แมลง หรือ หอย เมื่อค่อยๆ นึกไป บทที่กล่าวถึงไดโนเสาร์ก็มีบทลิเกที่ข้าพเจ้าเคยฟังเมื่อตอนเด็กๆ ว่า

"ไดโนเสาร์สัตว์โบราณ

อดอาหารมาหลายเวลา

เดินโซเซ...ก็โซซัด

ไปพบหน่อกษัตริย์ที่กลางป่า

สัตว์ประหลาดดีใจ..จนน้ำลายไหลออกมา"

"สำหรับแมลงนั้น มีบทเพลงเด็กที่ข้าพเจ้าสอนให้หลานร้อง (ตอนหลานอายุสองขวบ) ว่า

"แมงมุมลายตัวนั้นฉันเห็นซมซานเหลือทน

วันหนึ่งมันถูกฝนไหลหล่นจากบนหลังคา

พระอาทิตย์ส่องแสงฝนแห้งเหือดไปลับตา

มันรีบไต่ขึ้นฝาหันหลังมาทำตาลุกวาว"

"เกี่ยวกับหอยนั้น นึกออกแต่เพลงชื่อ พม่างมหอย ซึ่งพี่ๆ ลูกทุ่ง "ถาปัด" เคยร้องให้ฟัง

"ฝ่ายพม่าถ่อเรือไปงมหอย เห็นเดือนคล้อยลงมา

อะโกละยา อะโกละยา ยาเล

ดวงตะวันพวยพุ่งจะรุ่งฟ้า สุริยาจวนโผล่

เล เล เล เล เล เล"</span>

โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 15, 2008 5:46 am
โดย abc1234
ขอบคุณ อ่ ะ สนุกดี จัง *-* ยิ่งตอนท้าย มีเพลง แมงมุมลาย ด้วย ยิ่งคิดถึงตัวเอง ตอนเล็กๆๆจัง

โพสต์โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 17, 2008 2:08 pm
โดย churace
<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>ท่านผู้อ่านสังเกตเห็นได้ชัดว่า ความหลังในรั้วสีชมพูของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงฝังพระทัยในอารมณ์ขันของบรรดา "พี่ ๆ" คณะสถาปัตย์เป็นอย่างมาก เพราะในบรรดานิสิตด้วยกันแล้วต้องยกให้ว่า นิสิตคณะสถาปัตย์ฯ นี่แหละที่ดูจะมีอารมณ์ขันพิลึกพิลั่นเหนือกว่าคณะอื่นๆ และที่แปลกก็คือพวกเขาสามารถสืบทอด "อารมณ์ขัน" อันนี้มาได้ตลอดโดยไม่ขาดตอน นับตั้งแต่รุ่น แสงอรุณ รัตกสิกร เรื่อยมาจนถึงสมัย วาทิน ปิ่นเฉลียว.....จนถึงปัญญา นิรันดร์กุล และญาณี ตราโมทย์

เคยมีโปรเฟสเซอร์จากเท็กซัส สหรัฐอเมริกา มาถามผมผู้ประมวลเรียบเรียงหนังสือเล่มนี้ว่า เพราะเหตุใดสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จึงทรงมีความเป็นเลิศในหลายๆ สาขาของวัฒนธรรม ทั้งทางดนตรี วรรณคดี และภาษาศาสตร์ ผมตอบโปรเฟสเซอร์คนนั้นไปว่า เป็นเพราะสมเด็จพระเทพรัตนฯ ทรงได้ความเป็นเลิศในสาขาต่างๆ มาทางสายเลือด กล่าวคือ

เลือดของนักดนตรีนั้น ได้มาจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

เลือดของนักวรรณคดีนั้น ได้มาจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ

เลือดของนักภาษาศาสตร์ได้มาจากสมเด็จย่า ซึ่งทรงเชี่ยวชาญภาษาบาลีเป็นอย่างยิ่ง ทั้งหมดนี้ ได้มาผสมกันขึ้นเป็นองค์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญยืนนาน ทรงเป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยตลอดชั่วกาลนาน
</span>

โพสต์โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 17, 2008 9:30 pm
โดย pensij
ขอบคุณน่ะค่ะ ที่นำเรื่องดีดี มาย้อนอดีตกัน พระองค์ท่านจิตใจดีมีเมตตาต่อพนสกนิกรจริงๆ
เคยเข้าเผ้าท่านเมื่อสิบปีที่แล้ว ขณะนั้นท่านมาเยือนมอลทรีออล โอโห พระองค์ท่านติดดินจริงๆ วางพระองค์เป็นกันเองมาก ถึงมากสุดเลยค่ะ ขอพระองค์จงทรงพระเจริญยิ่งยืนนานพ่ะยะ่ค่ะ

โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ส.ค. 28, 2008 7:00 pm
โดย churace
<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>พระอารมณ์ขันของสมเด็จพระเทพฯ - ภาค 2
(ขอขอบคุณ คุณไทยเลดี้
<a href='http://www.arunsawat.com/board/index.php?action=printpage;topic=509.0)' target='_blank'>http://www.arunsawat.com/board/index.php?a...ge;topic=509.0)</a>
</span>
<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>"ทรงร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ขณะที่เรียน
โดย วิลาศ มณีวัต

ทรงเล่าถึงชีวิตตอนทรงศึกษาอยู่ที่คณะอักษรศาสตร์ว่า

"ที่คณะเรานอกจากจะมีสมาชิกที่เป็นคนแล้ว ยังมีหมาอีกหลายตัว เช่น คุณหมี
เป็นหมาสีดำตัวใหญ่ เป็นของภารโรง คุณหมีนี้ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นใหญ่เป็นโตมากที่สุดในบรรดาหมาที่คณะ ได้ข่าวว่าเวลานอนก็ต้องนอนมุ้งเวลามีเรียนค่ำ ๆ คุณหมีไม่ได้เข้ามุ้ง จะถูกยุงกัดมากกว่าคนอื่นและตัวอื่น

"หมาอีกตัวชื่อ มาร์กาเร็ต เป็นเจ้าถิ่น อยู่มานานแค่ไหนไม่มีใครทราบ
สีอะไรบอกไม่ได้แน่ สันนิษฐานว่าเคยเป็นสีขาว ขนยาว ส่อว่าเป็นลูกครึ่ง
ความที่เธอไม่ยอมอาบน้ำจึงมอมแมม แถมมีกลิ่นแรง ข้าพเจ้าเคยท้าเพื่อนว่า
ใครเอามาร์กาเร็ตไปอาบน้ำได้จะมีรางวัล ปรากฎว่าคนที่พยายามจะเอารางวัล
ถูกงับไปตาม ๆ กัน ไม่มีใครได้รางวัล ที่ข้าพเจ้าจะต้องเป็นธุระหาคนอาบน้ำให้
มาร์กาเร็ต เพราะมาร์กาเร็ตมีความสนใจเรียนวิชาที่ข้าพเจ้าเรียน (โปรดสังเกตอารมณ์ขันของพระองค์) ถึงชั่วโมงภาษาบาลีและปรัชญากรีกเธอจะมานอนทับบนเท้าข้าพเจ้า ถ้าขยับหนีก็จะฮื่อใส่ เมื่อหมดชั่วโมงก็จะลุกไปเอง ท่านอาจจะถามว่าในเมื่อข้าพเจ้าอยากให้มาร์กาเร็ตอาบน้ำทำไมไม่อาบให้เสียเอง ต้องสารภาพว่า เคยพยายามแล้วแต่ไม่สำเร็จ แสดงว่าไม่ได้มีเมตตามหานิยมอะไรเป็นพิเศษ"
</span>

โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ส.ค. 28, 2008 8:30 pm
โดย pensij
^_^ such a cute story from her.....Thank you na ka...

โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 29, 2008 1:44 am
โดย churace
you're most welcome ka.

thanks to the related websites.

โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 30, 2008 8:44 am
โดย Jawan
Very Many Thank na ja for lovely story