<span style='color:red'>ในหลวงทรงพระประชวร ประทับรักษาที่รพ.ศิริราช [13 ต.ค. 50 - 19:42]</span>
สำนักพระราชวัง ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 1 ว่า เวลาเช้าวันที่ 13 ต.ค.2550 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระอาการพระวรกายด้านขวาอ่อนแรง แพทย์ประจำพระองค์จึงได้กราบบังคมทูลเชิญเสด็จพระราชดำเนินจากพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต ไปยังโรงพยาบาลศิริราช เพื่อถวายตรวจพระสมองด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า พบว่า มีผิวพระสมองด้านซ้ายขาดเลือดเล็กน้อย คณะแพทย์จึงขอพระราชทานให้ประทับที่โรงพยาบาล เพื่อถวายพระโอสถรักษาและสังเกตพระอาการ หลังจากถวายการรักษาประมาณ 8 ชั่วโมง ปรากฏว่าพระอาการอ่อนแรงของพระเพลา (ขา) ดีขึ้น จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน สำนักพระราชวัง 13 ต.ค.2550
<span style='color:red'>'ในหลวง'ประทับ รพ.ศิริราช ตรวจพระสมอง [14 ต.ค. 50 - 03:39]</span>
เมื่อช่วงค่ำวันที่ 13 ต.ค. สำนักพระราชวัง ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 1 ความว่า เวลาเช้าวันที่ 13 ตุลาคม 2550 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระอาการพระวรกายด้านขวาอ่อนแรง แพทย์ประจำพระองค์จึงได้กราบบังคมทูลเชิญเสด็จพระราชดำเนินจากพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต ไปยังโรงพยาบาลศิริราช เพื่อถวายตรวจพระสมองด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า พบว่ามีผิวพระสมองด้านซ้ายขาดเลือดเล็กน้อย คณะแพทย์จึงขอพระราชทานให้ประทับที่โรงพยาบาล เพื่อถวายพระโอสถรักษาและสังเกตพระอาการ หลังจากถวายการรักษาประมาณ 8 ชั่วโมง ปรากฏว่าพระอาการอ่อนแรงของพระเพลา (ขา) ดีขึ้น จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน สำนักพระราชวัง 13 ตุลาคม พุทธศักราช 2550
ทั้งนี้ มีรายงานข่าวว่า ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะทรงเข้ารับการรักษาพระองค์นั้น ทรงมีพระอาการอ่อนเพลีย ไม่มีแรง และเสวยไม่ได้มาตั้งแต่ ช่วงเช้าวันเดียวกัน ซึ่งแพทย์ประจำพระองค์จึงกราบ บังคมทูลเชิญเสด็จฯไปยัง รพ.ศิริราช ในเวลา 08.30 น. และขณะนี้ทรงประทับอยู่ที่อาคารเฉลิมพระเกียรติ ชั้น 16 ท่ามกลางความวิตกกังวลและห่วงใยของพสกนิกรที่ทราบข่าว
สำหรับบรรยากาศที่อาคารเฉลิมพระเกียรติ รพ.ศิริราช ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่ช่วงบ่าย ก็เริ่มมีประชาชน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นญาติผู้ป่วยที่มารักษาตัวที่ รพ.ศิริราช ที่พอจะทราบข่าวจากปากต่อปาก ได้เดินทางมารอเฝ้าพระอาการพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อย่างใจจดใจจ่อ รวมถึงรอเฝ้าฯรับเสด็จพระบรมวงศานุวงศ์ โดยในเวลาประมาณ 14.00 น. สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จฯมายัง รพ.ศิริราช และเสด็จฯ กลับในเวลา 16.00 น. ตามด้วยเวลา 18.00 น. ทูลกระหม่อม หญิงอุบลรัตน์ฯ ได้เสด็จถึง รพ.ศิริราช จากนั้นก็มีบุคคลสำคัญที่ทราบข่าวแล้วทยอยเดินทางมาเข้าเฝ้าพระอาการ อาทิ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ที่เดินทางมาพร้อมภริยา พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. นพ.มงคล ณ สงขลา รมว.สาธารณสุข ฯลฯ โดย พล.อ.สุรยุทธ์ใช้เวลาเข้าเฝ้าฯ อยู่นานกว่าสองชั่วโมง จึงเดินทางกลับไปเมื่อเวลา 20.30 น.
ส่วนบรรยากาศโดยทั่วไปบริเวณอาคารเฉลิมพระเกียรตินั้น คึกคัก และคลาคล่ำไปด้วยกองทัพสื่อมวลชนทุกแขนงที่มารอทำข่าว รวมถึงประชาชนที่เริ่มทราบข่าวจากสื่อ ได้ทยอยเดินทางมายัง รพ.ศิริราช โดยนาย สมเดช ชัยสลี อายุ 52 ปี หนึ่งในผู้มารอเฝ้าพระอาการกล่าวว่า เห็นข่าวทางทีวีเมื่อเวลา 6 โมงเย็น ก็รีบชวนภรรยาและลูกนั่งรถตู้มาทันที โดยทางครอบครัวรู้สึกตกใจอย่างมาก ขอให้พระองค์ท่านมีพระวรกายที่แข็งแรง เนื่องจากปีนี้เป็นปีสำคัญฉลองพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา อยากให้ท่านมีพระวรกายที่แข็งแรง และอยู่เป็นมิ่งขวัญของคนไทยต่อไป และทั้งครอบครัวจะรอดูพระอาการจนกว่าจะทราบข่าวดีจาก รพ.
ต่อมาผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก นายถาวร พ่วงประทุม กรมวังประจำที่ประทับ สำนักพระราชวัง เปิดเผยว่า ในวันที่ 14 ต.ค.นี้ ทางสำนักพระราชวังจะจัดเตรียมโต๊ะลงนามถวายพระพรให้กับบุคคลและประชาชนทั่วไป ได้ลงนามที่ศาลาศิริราช 100 ปี ตั้งแต่เวลา 08.00-20.00 น.
จากนั้นตั้งแต่ช่วงค่ำจนถึงดึก มีประชาชนสวมเสื้อเหลืองทยอยเดินทางมาที่อาคารเฉลิมพระเกียรติ เพื่อรอเฝ้าพระอาการในหลวงกันหนาตามากขึ้น ขณะที่เวลา 21.45 น. ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์ฯ ได้เสด็จกลับ ขณะเดียวกับที่พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เสด็จฯ พร้อมด้วยแจกันดอกไม้เข้าเยี่ยมพระอาการ ซึ่งทรงใช้เวลาอยู่ประมาณ 10 นาที จึงเสด็จกลับ
อย่างไรก็ดี ข่าวการเข้าประทับรักษาพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้รับการเผยแพร่ไปทั่วโลกในเวลาต่อมา เมื่อสำนักข่าวต่างประเทศทั้งเอพี เอเอฟพี และรอยเตอร์ ต่างก็รายงานข่าวพระอาการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตามแถลงการณ์ของสำนักพระราชวัง ฉบับที่ 1 ซึ่งระบุว่าพระองค์มีพระอาการพระวรกายด้านขวาอ่อนแรง ภายหลังแพทย์ถวายตรวจพบผิวพระสมองด้านซ้ายขาดเลือดเล็กน้อย จึงขอพระราชทานให้ทรงประทับที่โรงพยาบาลศิริราช โดยเบื้องต้นพระอาการดีขึ้น ซึ่งสำนักข่าวต่างประเทศยังรายงานด้วยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่งของพสกนิกรไทย โดยเอเอฟพีระบุข่าวการประชวรของพระองค์เป็นข่าวใหญ่ที่ชาวไทยเฝ้าติดตามอย่างจดจ่อทั่วประเทศ
จากหนังสือไทยรัฐออนไลน์ ค่ะ