ครัวไกลบ้านได้ทำการปรังปรุงเวบไซต์ให้ใช้งานได้ง่ายขึ้นในระบบสมาร์ทโฟน และได้รวมข้อมูลเมนูอาหารและ สมาชิกจากทั้งเวบไซต์เก่าและใหม่เสร็จเรียบร้อยแล้ว

สมาชิกท่านไหนมีปัญหาไม่สามารถล็อกอินได้ ให้ทำการเปลี่ยนพาสเวิร์ดโดยคลิ๊กลิ้งค์นี้ ลืมรหัสผ่าน
ถ้าท่านใดมีชื่อสมาชิกมากกว่าหนึ่งชื่อแล้วต้องการรวมโพสทั้งหมดให้อยู่ในชื่อสมาชิกเดียว หรือมีปัญหาในการใช้เวบไซต์
สามารถส่งอีเมล์แจ้งรายละเอียดมาได้ที่ [email protected] หรือส่งข้อความได้ที่ user: sillyfooks

ถ้าชอบครัวไกลบ้าน อย่าลืมคลิ๊กไลค์เฟสบุ๊คให้ครัวไกลบ้านด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ

เคล็ดดีดีที่ไม่ลับ

คลังข้อมูลเรื่องทีเด็ดของเหล่าบรรดาแม่ครัวพ่อครัวตัวเอ้ เคล็ดวิชาต่างๆทั้งเรื่องการทำอาหาร และอื่นๆ

โพสต์โดย cake » อังคาร พ.ค. 23, 2006 3:17 pm

เคล็ดดีดีที่ไม่ลับต่อไปนี้ ไม่ได้คิดเองค่ะ แต่เห็นว่ามีประโยชน์กับแม่บ้าน พ่อบ้าน
และบางอย่างก็เคยทำแล้วได้ผลอย่างที่กล่าวไว้จริงๆ เลยนำมาฝากกันค่ะ แต่จะใช้ได้กับทุกท่าน
ทุกประเด็นหรือไม่ขอให้พิจารณาประยุกต์กันเองน่ะค่ะ

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>Omlette</span>
Omlette ก็คือไข่เจียวของฝรั่งนั่นเอง แต่มีความมันมากกว่าของไทย ลักษณะของไข่เจียวไทยนั้นต้องฟู
แต่ลักษณะของ Omlette ต้องมัน Creamy และออกมาเป็นก้อนเดี่ยว ๆ กลม ๆ และไม่มีความเหลืองจนเกินไป
ไส้นั้นไม่ควรจะสุกมากเกินไป บางท่านจะชอบให้ ไข่ยังเละ ๆ อยู่ตรงกลาง

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>กระถินชุบไข่ทอด</span>
ถ้ารั้วที่บ้านของคุณแม่บ้านปลูกกระถินแล้วลองเก็บยอดและใบอ่อน ๆ มาชุบไข่ทอดอย่างชะอมดูบ้างก็ได้อร่อยไม่แพ้กันเลยครับ
เผื่อวันไหนไม่มีชะอม คุณแม่บ้านเปลี่ยนมาเป็นกระถินชุบไข่ทอดก็อร่อยไปอีกแบบ

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>เคล็ดลับกล้วยเชื่อม</span>
คุณแม่บ้านเลือกกล้วยที่ไม่สุกจนเละ และไม่แข็งจนเกินไป ต้มน้ำเชื่อมให้เดือดแล้วใส่กล้วยหักมุกลงไปตามด้วยน้ำมะนาว 1 ลูก
จะทำให้กล้วยใสน่ารับประทานเชียว

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>เก็บกระเทียมให้ทนนาน</span>
เก็บกระเทียมให้มีอายุใช้ทนทาน ให้แกะเป็นกลีบเลือกกระเทียมที่ดีใส่กล่องปิดฝา เอาเก็บไว้ในช่องแช่แข็งของตู้เย็น
เมื่อเวลาจะใช้จึงค่อยหยิบออกมาตามต้องการ

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>กล้วยน้ำว้าเก็บไว้ได้นาน</span>
กล้วยน้ำว้าเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์มาก มีวิตามิน A,C มากชนิดหนึ่ง และในปัจจุบันก็ค่อนข้างราคาแพง
ยิ่งคุณแม่บ้านที่มีเด็กอ่อนหรือเด็กเล็ก ๆ ก็ยิ่งจำเป็นมาก เพราะกล้วยนี้มีคุณค่าทางอาหารสูง เหมาะสำหรับใช้เลี้ยงเด็กอ่อน
ซึ่งจะช่วยให้เด็กแข็งแรงและสมบูรณ์ขึ้น คุณแม่บ้านมักจะพบปัญหาว่าเด็กยังทานไม่หมดหวี แต่กล้วยก็สุกและเละจนต้องทิ้งทุกครั้งไป
วิธีเก็บรักษา ก็มีง่าย ๆ คือ เมื่อซื้อกล้วยทั้งหวีให้จุ่มลงในน้ำเดือดสัก 3 นาที และนำขึ้นแขวนในที่ ๆ มีลมโกรก
กล้วยนี้จะมีลักษณะเดิมเหมือนที่ซื้อมาจากตลาด และอยู่ได้นานถึง 20 วัน

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'> กลิ่นเครื่องใน</span>
ท่านที่ชอบเครื่องใน แต่ไม่ชอบกลิ่นมัน เรามีวิธีดับกลิ่น โดยท่านเอาเครื่องในไปคลุกเคล้ากับเหล้าขาว โดยใส่ทีละน้อย
จนกลิ่นหมด จะได้รสชาติอร่อยเพิ่มขึ้น

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>กลิ่นสาบไก่</span>
นำไก่ที่จะทำอาหารมาแช่ในน้ำผสมเบ็กกิ้งโซดา 1/2 ช้อนชา ประมาณ 1/2 ชั่วโมง เมื่อนำมาทำอาหาร
จะทำให้ดับกลิ่นสาบไก่ได้



<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>กลิ่นหอม กระเทียม</span>
แม่บ้าน ที่ทำกับข้าว และต้องใช้หัวหอม และกระเทียม ในการทำ เมื่อทำเสร็จแล้ว กลิ่นอันไม่พึงประสงค์ของหัวหอม กระเทียม
ยังติดมืออยู่ เรามีวิธีป้องกันได้ โดยก่อนที่จะปอก ให้นำหัวหอม หรือกระเทียม แช่ลงในน้ำเย็น เมื่อปอกเสร็จแล้ว
ก็ล้างน้ำเย็นอีกครั้งหนึ่ง ก็จะทำให้ไม่มีกลิ่นติดมือ

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>กวนอาหารให้น่ารับประทาน</span>
การกวนถั่ว เผือก หากขนมมีสีคล้ำไม่น่าดู มีวิธีแก้ คือ ขณะที่กวนขนมเกือบจะได้ที่ให้ใช้หัวกะทิใส่ลงไปรีบคนให้ทั่ว
พอสุกแล้วขนมจะมีสีขาวนวลดูน่ารับประทาน

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>แก้กะปิมีกลิ่น</span>
ซื้อกะปิมาแล้วมีกลิ่นเหม็น เวลาจะตำน้ำพริกกะปิ ให้เอากระเทียมโขลกกับกะปิ ใส่กระเทียมให้มากหน่อย โขลกให้นาน
ให้กะปิกับกระเทียมเข้ากัน แค่นี้กะปิก็จะหายเหม็นอย่างแน่นอน

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>กาแฟขม</span>
หลายท่านที่ชอบดื่มกาแฟ ตอนชงกาแฟออกมาแล้ว รสชาติออกมาขม ท่านก็ไปใส่น้ำ นม หรือน้ำตาลลงไป ทำให้รสชาติกาแฟเสียไป
มีคำแนะนำโดยที่ท่านไม่ต้องไปเติมน้ำ นม หรือน้ำตาลเพิ่ม เพียงแต่ใส่เกลือลงไปแทน จะทำให้รสชาติกาแฟไม่เสีย

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>การแก้ปัญหาเมื่อผักกาดหอมเหี่ยว</span>
เราสามารถทำผักกาดหอมที่เหี่ยวให้กลับมาสดใหม่ได้อีกครั้ง โดยนำผักกาดหอมไปแช่ในน้ำผสมน้ำมะนาวประมาณ 1 ชั่วโมง
จากนั้นให้นำขึ้นล้างน้ำอีกครั้งเท่านี้เราก็จะได้ผักกาดหอมที่ดูสดเหมือนใหม่

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>การเก็บผักสดให้ได้นานๆ</span>
เมื่อซื้อผักมาจากตลาด จะมีปัญหาในเรื่องของผักเน่า ผักเสีย ให้นำผักมาล้างน้ำและเด็ดใบเสียออก ผึ่งลมไว้จนแห้ง
แล้วจึงห่อรวมไว้ในถุงกระดาษ นำไปแช่ในตู้เย็น จะทำให้ช่วยรักษาความสดของผักไว้ได้นาน

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>การเจียวหอม กระเทียมให้สวยกรอบเหลือง</span>
ต้องซอยกระเทียมให้บางเสมอกัน จากนั้นใส่น้ำมัน ใส่หอมหรือกระเทียม ยกขึ้นตั้งไฟอ่อน ๆ คอยคนตลอดเวลาจนเหลือง แล้วตักใส่ถ้วย

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>การดองผักให้กรอบอร่อย</span>
เวลาดองผัก เมื่อใส่ผักกับน้ำส้มสายชูแล้ว ให้ใส่สารส้มลงไปในน้ำที่ดองผักด้วย เพราะสารส้มจะทำให้ผักมีความกรอบอร่อย

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>กำจัดไขมันในน้ำซุป</span>
เทน้ำซุปกระดูกใส่ขวด ปิดฝาให้แน่นแล้ววางไว้ในตู้เย็น เมื่อน้ำซุปเย็นลงไขมันจะแข็งตัว
เกาะอยู่ที่ก้นขวด เมื่อเปิดฝาเทน้ำซุปออก จะทำให้กำจัดไขมันออกได้ง่าย

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>กำจัดแมลงวันด้วยพริก</span>
เวลาคุณแม่บ้านนำอาหารต่าง ๆ มาตากแดด แต่จะมีแมลงวันมาตอม ให้คุณแม่บ้านเอาพริกแห้งสัก 5-6 เม็ด เสียบไว้ในกระด้งที่ตากรอบ ๆ
กันไม่ให้แมลงวันตอม ใช้กับกะปิก็เช่นกัน ให้เอาพริกแห้งเสียบไปที่กะปิที่ตาก ไอร้อนของพริกจะทำให้แมลงวันไม่กล้าเข้าใกล้เลย

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>กุ้งห่มผ้า</span>
กุ้งห่มผ้าเสน่ห์อยู่ที่ความกรอบของแป้งเปาะเปี๊ยะและกุ้งที่ไม่สุกเกินไปเพราะฉะนั้นเวลาทอดสามารถทอดไฟแรง ๆ ได้

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>กุลาดำรสอร่อย</span>
ล้างกุ้งกุลาดำให้สะอาดก่อนนำมาปรุงอาหาร ดึงหัวกุ้งปอกเปลือก ผ่าหลัง ใช้น้ำมัน 1 ช้อนโต๊ะ เกลือ 1 ช้อนชา ไข่ขาว 1 ฟอง
คลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วล้างน้ำ 2 ครั้ง จะได้กุ้งกุลาดำที่สะอาดและมีรสอร่อย

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>วิธีเก็บกุ้งแห้ง</span>
กุ้งแห้งซื้อมาแล้วใช้ไม่หมด เวลาเก็บมักจะมีกลิ่นฉุน ให้นำกุ้งแห้งออกผึ่งลมเพื่อให้กลิ่มอับลดลง จึงนำใส่ขวดแก้วปิดฝาให้สนิท
นำไปแช่ในตู้เย็นช่องธรรมดา เวลาจะใช้ก็แบ่งมาเท่าที่ต้องการใช้ เท่านี้ก็เป็นการเก็บกุ้งแห้งเอาไว้ได้นานโดยไม่มีกลิ่นอับ

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>วิธีเก็บน้ำสต๊อคไว้ให้นาน ๆ</span>
น้ำซุปหรือน้ำสต๊อคเก็บไว้ มีเคล็ดลับในการต้มน้ำกระดูหมูเป็นน้ำสต๊อคไม่ให้เสียเร็ว คือ ก่อนจะเอากระดูกใส่ลงในน้ำ
ให้นำกระดูกไปย่างสัก 2-3 นาที

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>เก็บผลไม้ให้สดทนนาน</span>
จะเก็บผลไม้ให้สด ไม่เหี่ยวด้วยวิธีบรรจุผลไม้ให้เต็มถุงพลาสติก ใส่น้ำสะอาดเต็มถุง ปิดถุงให้สนิทแล้วเก็บในช่องแช่แข็ง
จะเก็บผลไม้ได้สดทนนาน และอยู่ในสภาพเดิม

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>วิธีการรักษาอาหาร</span>
อาหาร จำพวกเนื้อสัตว์ โดยมากก็จะซื้อมากเป็น Pack เรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าซื้อเนื้อสดจากตลาดสด ยังไงก็ต้องล้างมันแล้วเช็ดให้แห้ง
จากนั้นห่อด้วยพลาสติก ไม่ให้มีอากาศเข้าได้ แล้วก็เก็บเข้าตู้เย็น ถ้าจะเก็บให้นานก็เข้าช่องแข็งได้ เนื้อหมูก็เช่นกัน
อีกประการหนึ่งเกี่ยวกับการเก็บของใส่ตู้เย็นให้ถูกวิธี โดยตู้เย็นจะมี หลายช่องไว้ใส่ของ ส่วนอาหาร ทะเล เช่น ปลาหมึก หรือกุ้ง
ความจริงแล้วต้องอยู่ในถุงและต้องมีน้ำแข็งโปะอยู่แต่ว่าน้ำแข็งต้องไม่ติด กับเนื้อของอาหาร และก็ให้น้ำแข็งละลายไป
และก็สามารถเปลี่ยนใหม่ได้เรื่อย ๆ แล้วก็เก็บในตู้เย็นได้อีกทีหนึ่งอาหารถึงจะสดอยู่ตลอดเวลา

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>การเก็บและอุ่นอาหาร</span>
ผัก และผลไม้ เมื่อล้างสะอาดดีแล้ว ควรเก็บในภาชนะที่สะอาดไม่มีลมโกรก หรือห่อกระดาษหนังสือพิมพ์แล้วเก็บในตู้เย็นก็ยิ่งดีส่วนผักอื่นที่แห้ง ๆ
ก็เอาไว้ข้างนอกในตะกร้าที่มีอากาศถ่ายเท

วิธีอุ่นอาหารก็สามารถเอาเข้าไมโครเวฟ เข้าไปอุ่นทั้งถุง ทำไม่ได้นะ ท่านควรจะเอาใส่ชามหรือภาชนะ แล้วเอาพลาสติกคลุมไว้ก่อนเข้าไมโครเวฟ
เพราะ พลาสติกที่หุ้มไว้ช่วยลดการกระเด็นของอาหารในไมโครเวฟ เมื่อเวลาร้อนจัดหรือ ใกล้สุก มันก็จะกระเด็นอยู่ในชามไม่ออก มาเลาะเตาอบของท่าน

อีกประการหนึ่งถุงพลาสติกที่ใส่แกงมาไม่รู้ว่าสกปรกแค่ไหน จึง ไม่ควรเอาไปอุ่นทั้งถุง

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>เกล็ดเล็กน้อย</span>
แม่บ้าน หรือ พ่อบ้าน บางท่านที่ชอบกินมะเขือ เมื่อผ่าหรือหั่นออกมาแล้ว ปล่อยไว้สักพักมะเขือจะเริ่มดำ
มีวิธีแก้ไข ป้องกัน เมื่อผ่าหรือหั่นออกมาแล้ว ให้เอามะเขือไปแช่น้ำที่ผสมเกลือ (ไม่ใช่น้ำเกลือ)
คือน้ำที่ผสมเกลือเล็กน้อย ก็จะทำให้มะเขือไม่ดำ

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>เกลือแก้แสบร้อน</span>
คุณแม่บ้านที่ต้องเข้าครัวเป็นประจำ เมื่อคุณหั่นพริกแล้วจะมีอาการแสบร้อน ให้แก้โดยเอามือไปแช่ในน้ำเกลือสักพักก็จะหายแสบร้อน

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>แก้ไขเมื่อแกงส้มเปรี้ยวเกินไป</span>
เวลาคุณแม่บ้านแกงส้ม ถ้ารู้สึกว่าเปรี้ยวเกินไป ให้คุณแม่บ้านเติมกะปิกับเกลือลงไป น้ำตาลนิดหน่อย
ทีนี้แกงส้มของคุณจะอร่อยขึ้นตามความต้องการ

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>แก้ครกมีกลิ่นเผ็ด</span>
หลังจากตำพริกหรือ ตำอาหารที่มีรสเผ็ด ให้เอาหยวกกล้วยน้ำว้าหั่นเป็นชิ้นเล็กๆใส่ลงโขลก แล้วล้างน้ำออก กลิ่นเผ็ดของครกจะหายไป

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>แกงมีรสเค็มทำให้จืด</span>
เวลาต้มแกงจืด แล้วคุณแม่บ้านใส่น้ำปลาลงไปมากจนเค็มปี๋ ให้เอาข้าวสารห่อผ้าลงไปต้มด้วยจะทำให้แกงเค็มจืดขึ้น ลองทำดูครับ

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>แกงส้มค้างคืนไม่เปลี่ยนรส</span>
ถ้าแกงส้มด้วยหม้ออะลูมิเนียม แกงใหม่ๆก็ทานอร่อยรสดีแต่พอค้างคืนเดียว แล้วนำมาทานอีกตอนเช้ารสจะเฝื่อนไม่มีรสสดเหมือนเดิม
ขอแนะนำให้แกงด้วยหม้อเคลือบ รสจะไม่เปลี่ยน เพราะกรดในแกงส้มถูกกับหม้อเคลือบ

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>แกงส้มรสอร่อย</span>
การทำแกงส้มไม่ให้เหม็นคาว จะต้องใส่ปลาหรือกุ้งเมื่อน้ำแดงเดือด ควรปรุงรสแกงส้มก่อน ผักบางอย่างพอใส่ลงในหม้อให้รีบยกขึ้นทันที
เช่น ผักกะเฉด ผักบุ้ง ผักบางอย่างต้องใส่ลงไปต้มให้ผักเปื่อย น้ำแกงเข้าเนื้อจึงจะอร่อย ไม่ควรใส่น้ำมาก อย่าลืมเผื่อน้ำผักด้วย

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>แกงสะตอ</span>
ควรปรุงสะตอให้สุกและเปื่อย อย่าให้สุก ๆ ดิบ ๆ เพราะจะย่อยยาก ทำให้ท้องเสีย ถ้าต้องการให้กลิ่นเหม็นเขียวน้อยลง
ควรเปิดฝาเวลาปรุง และรับประทานกับผักสดต่าง ๆ เช่น แตงกวา ถั่วฝักยาว ถั่วงอก จะได้ทั้งแร่ธาตุ วิตามิน โปรตีน รวมทั้งไขมัน

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>แกงใส่มะเขือ</span>
แกงประเภทที่จะต้องใส่มะเขือนั้น ควรใส่มะเขือในขณะที่น้ำแกงกำลังเดือดเสมอเพราะจะทำให้มะเขือไม่มีสีดำ ดูน่ารับประทาน


<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>แก้แกงหรือต้มไม่ให้น้ำแกงดำ</span>
แกงส้มหรือแกงคั่วผักบุ้ง เมื่อค้างคืนน้ำแกงจะดำไม่น่ารับประทาน แต่ถ้าจะทำตามวิธีนี้ รับรองว่าน้ำแกงจะไม่ดำเลย

วิธีทำ

แกงคั่วส้มหรือแกงส้ม หรือต้มกะทิสายบัว เมื่อน้ำแกงเดือด ขอให้ใส่ส้มลงไป ส้มในนี้หมายถึง มะขาม มะนาว มะดัน
อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ แล้วจึงใส่น้ำปลา ปรุงรสตามใจชอบ แล้วใส่ผักตามทีหลัง หลักสำคัญแน่ ๆ นั้น
ต้องใส่ส้มก่อนใส่ผัก น้ำแกงก็จะไม่ดำเมื่อค้างคืน

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>แกะกุ้งขนาดเล็กมากๆ</span>
เวลาซื้อกุ้งที่มีขนาดเล็กมากๆ ตอนแกะเปลือกจะทำได้ยาก ให้นำไปลวกก่อนแกะ จะช่วยเพิ่มความสะดวกให้คุณได้เยอะ

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>ไก่เนื้อนุ่ม</span>
ก่อนนำไก่มาทำอาหาร ให้บีบมะนาวรดให้ทั่วตัวไก่ ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที หรือมากกว่านั้น
วิธีนี้จะช่วยให้ไก่ที่ปรุงอาหารแล้วมีเนื้อนุ่มและมีรสหวานขึ้น

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>ขนมปังป่น</span>
ขนมปังที่เหลือ ควรใส่เก็บไว้ในช่องแช่แข็งของตู้เย็น เมื่อเก็บรวบรวมไว้ได้มาก ให้นำออกตากแดด
เอาเข้าเครื่องปั่นจนละเอียด เพื่อทำขนมปังป่น เก็บไว้ชุบ กุ้ง หมู ไก่ เนื้อทอด หลังบดป่นแล้ว
ควรเก็บไว้ในตู้แช่แข็งต่อไป

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>ขนาดและรูปร่างภาชนะ</span>
ขนาดและรูปร่างของภาชนะที่ใช้ปรุงอาหารมีผลต่อการปรุงอาหารด้วยไมโครเวฟ ดังนั้น
การเลือกใช้ภาชนะสำหรับปรุงอาหารด้วยไมโครเวฟจึงควรดูให้เหมาะสม ภาชนะทรงกลมจะเหมาะที่สุดเพราะคลื่นไมโครเวฟสามารถเข้าได้ทุกทิศทาง
ภาชนะทรงเหลี่ยมจะทำให้อาหารที่อยู่มุมเหลี่ยมสุขก่อนเพราะโดนคลื่นมากกว่า ภาชนะทรงสูงจะทำให้ใช้เวลาในการปรุงอาหารนาน
เพราะอาหารที่อยู่ตรงกลางจะสุกช้า ส่วนภาชนะตื้นกว้างจะเหมาะกับอาหารที่ต้องมีการเกลี่ยให้เข้ากัน

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>ข้อควรสังเกตเวลาอบขนม</span>
1. ถ้าหน้าขนมแตก แสดงว่าใช้ไฟแรงเกินไป เนื้อในจะเป็นรู ๆ หยาบ ๆ แฉะ
2. อบออกมาแล้วหน้ายุบ เพราะแป้งน้อยเกินไป หรือไข่มากไป
3. เนื้อข้างในเป็นชั้น ข้างบนเบานิ่ม ข้างล่างหนักแฉะ เพราะผสมส่วนผสมไม่เข้ากันดี
หรือใส่ไข่ขาวแล้วคนไม่ทั่ว
4. หน้าขนมแฉะ เพราะอบไม่แห้ง หรือใส่น้ำตาลมากเกินไป

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>ขอดเกล็ดปลา</span>
วิธีขอดเกล็ดปลาให้ง่ายขึ้น ทำได้โดยนำปลาที่ต้องการจะขอดเกล็ดจุ่มลงในน้ำเดือดประมาณ 2-3 นาที
จากนั้นค่อยนำขึ้นมาขอดเกล็ด จะทำให้เกล็ดปลาหลุดออกง่ายขึ้น

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>ขอดเกล็ดปลาเก๋า</span>
ซื้อปลาเก๋ามาทำทานเอง จะรู้สึกว่ายุ่งยากเวลาขอดเกล็ด ให้เอาปลาเก๋าแช่น้ำ ใช้ช้อนคาวขูดเกล็ดออก
เกล็ดจะหลุดออกง่ายมากเลยทีเดียว

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'> ขอดเกล็ดปลาเพิ่งตายใหม่ ๆ</span>
การขอดเกล็ดปลา ควรทำในขณะที่ปลาเพิ่งตายใหม่ ๆ ไม่ควรขอดเกล็ดปลาขณะที่มันยังมีชีวิตอยู่ เพราะมันย่อมดิ้นรนด้วยความเจ็บปวด
ทำให้คุณพลาดพลั้งถูกมีดบาดได้ แต่การขอดเกล็ดปลาเมื่อปลาตายนั้น ถ้าปลาตายนานแล้วจนเนื้อนิ่ม
ก็จะทำให้คุณขอดเกล็ดปลาได้ยากเช่นกัน
ซ้ำปลายังมีรสจืดชืดไม่อร่อยอีกด้วย ดังนั้นควรจะทำตอนปลาตายใหม่ ๆ

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>ข้าวกล้องผัดทรงเครื่องมังสวิรัติ</span>
การทำข้าวกล้องผัดทรงเครื่องมังสวิรัติ ชิ้นส่วนของเผือก มันเทศ ข้าวโพด ฟักทอง ต้องมีขนาดที่ไม่เท่ากัน จึงจะทำให้ข้าวผัดจานนี้มีสีสันให้น่ากินขึ้นอีก

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>การทำข้าวต้มผัด (ข้าวต้มมัด)</span>
สำหรับข้าวเหนียวไม่จำเป็นต้องแช่ก่อนหรืออาจจะแช่ประมาณ 15 นาที แล้วค่อยสงขึ้นกวนกับน้ำกะทิ
ควรเลือกข้าวเหนียวเขี้ยวงูเม็ดยาวจะดีที่สุด
ส่วนกล้วนน้ำว้าเลือกที่สุกงอมใช้เวลาในการนึ่งข้าวต้มผัดนานอย่างน้อยประมาณ 1-2 ชั่วโมง ขณะนึ่งใช้น้ำ
พรมห่อข้าวต้มผัดด้วยจะช่วยให้กล้วยแดงดี น่ารับประทานและมีรสอร่อย

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>ข้าวต้มอร่อย หอม</span>
หลายท่านคงสงสัยว่าทำไมไปกินข้าวต้มบางร้านจึงอร่อย และหอม ไม่ต้องแปลกใจ เรามีวิธีทำได้เหมือนกัน โดยตอนเอาข้าวใส่น้ำแล้ว
ให้เพิ่มใส่ข้าวเหนียวสัก 1 กำมือ พร้อมใบเตยที่หั่นเป็นท่อนๆ สัก 4-5 ใบ รับรองข้าวต้มจะหอม อร่อยแน่นอน

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>ข้าวนุ่มๆ</span>
ใส่น้ำส้มสายชู 1 ช้อนชาลงในข้าว เมื่อข้าวสุกแล้วจะอ่อนนุ่มน่ารับประทาน แต่ไม่มีรสเปรี้ยวของน้ำส้มสายชู

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>ข้าวโพดต้ม</span>
ต้มข้าวโพดให้นุ่มอร่อยน่ารับประทาน มีวิธีง่าย ๆ คือตั้งน้ำให้เดือดก่อนแล้วึงใส่ข้าวโพดลงไป ใช้เวลาต้มสัก3 นาที
อย่าต้มนาน ตักข้าวโพดขึ้นเอาน้ำเกลือมาหยอด ข้อสำคัญ อย่าใส่เกลือลงไปในขณะที่ต้มข้าวโพดจะไม่อร่อย

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>ข้าวเย็น</span>
ข้าวเย็นที่เหลือสามารถทำให้เหมือนกับข้าวที่เพิ่งหุงใหม่ ๆ ได้ โดยการนำข้าวเย็นที่เหลือใส่ไว้ตรงกลางในข้าวที่จะหุงใหม่
แล้วใส่น้ำให้ท่วมจามจำนวนขีดที่กำหนด เมื่อข้าวสุก ทั้งข้าวใหม่และข้าวเย็นจะสุกเสมอกัน ไม่เปียกหรือเละ

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>เคล็ดลับทำข้าวเหนียวปิ้งให้อร่อย</span>
ข้าวเหนียวปิ้งไส้กล้วย ไส้มัน ข้าวเหนียวต้องอ่อนนุ่ม จึงอร่อย นำข้าวเหนียว หัวกะทิ เกลือ น้ำตาล มาผัดรวม พอแห้งก็ใช้ได้
เราควรนำมานึ่งสักครู่ พอข้าวเหนียวเกือบสุก จึงยกลง แล้วเอามาห่อปิ้งขายได้ ตอนปิ้ง ให้ดูที่ข้าวเหนียวอืดขึ้น แสดงว่าสุก

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>ขิงช่วยปลาไม่ให้ติดกระทะ</span>
เวลาจะทอดปลาโดยไม่ให้ติดกระทะ มีวิธีดังนี้คือ ตั้งนำมันในกระทะรอจนมันร้อนพอสมควร เอาขิงสดฝานเป็นชิ้นบาง ๆ สัก 2-3 ชิ้น
ใส่ลงในกระทะ เมื่อชิ้นขิงเกรียมก็ตักออกทิ้ง แล้วเอาปลาลงทอดปลาจะไม่ติดกระทะเลย

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>ไข่</span>
ไข่จะแบ่งออกเกรดๆ และโดยทั่วไปไข่ของไก่บ้านเราจะเป็นสีน้ำตาล แต่ต่างประเทศมี 2 สี คือ สีขาว สีน้ำตาล ซึ่งจะขึ้นอยู่กับแม่พันธุ์ของไก่ด้วย
วิธีการเก็บรักษา ถ้าล้างแล้วยังไม่ได้เก็บเข้าตู้เย็นจะเก็บได้นานโดยไข่จะมีอยู่หลายอย่าง เช่น ไข่เยี่ยวม้า ไข่เค็ม
โดยไข่ เยี่ยวม้าเราก็ต้องเอามาคัดขนาดก่อน จากนั้นก็เอาไปคลุกกับขี้เถ้า, ดินจอมปลวก, เกลือ, น้ำผสมกัน แล้วก็เอา ไปกลิ้งกับแกลบทิ้งไว้ประมาณ 3-4 อาทิตย์ จึงจะนำมารับประทานได้

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>เคล็ดลับเลือกซื้อไข่</span>
ควรเลือกซื้อไข่ที่สด จะมีลักษณะผิวนอกเป็นสีนวลน้ำหนักดี เขย่าไม่คลอน เลือกไข่ที่เปลือกนอกสะอาด เพราะถ้าสกปรกเชื้อโรคอาจแทรกซึมเข้าไปในเนื้อไข่ได้ ทำให้ไข่เสียเร็ว

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>วิธีเก็บไข่ให้ได้นาน</span>
ควรจะเก็บไว้ในกล่องไข่ เพื่อกันการกระทบกระเทือน และเพื่อป้องกันการระเหยของน้ำออกจากไข่
เก็บไข่ในอุณหภูมิต่ำ ตู้เย็นไม่ควรล้างไข่ก่อนเก็บ ในการเก็บควรตั้งทางป้านขึ้น เพราะโพรงอากาศอยู่ทางด้านนี้

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>ไข่ตุ๋น</span>
การทำไข่ตุ๋น เวลาผสมไข่ตุ๋นให้เข้ากันทั้งหมด และตีด้วยส้อมก่อนที่จะเทลงไปในภาชนะสำหรับตุ๋น ให้กรองให้เรียบร้อยเสียก่อน
จะได้ไม่มีตะกอนหรือฟองอากาศ ติดอยู่ในนั้น และเวลานึ่งก็ให้นึ่งไฟอ่อน ๆ ช้า ๆ อย่าใช้ไฟแรง หน้าของไข่ตุ๋นจะออกมาไม่สวย
เมื่อไข่เสร็จแล้วจึงจะราดด้วยกระเทียมเจียวและโรยพริกชี้ฟ้า


<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>ไข่ตุ๋นนุ่มอร่อย</span>
บางท่านทานไข่ตุ๋นแต่ไม่ทราบเป็นยังไง เวลาตุ๋นไข่จะแข็งกระด้าง ไม่คล่องคอ มีวิธีง่าย ๆ ที่จะทำให้ไข่ตุ๋นนุ่มอร่อย
คือเราควรใช้ถ้วยตวงไข่และโปรดจำไว้ว่า ไข่หนึ่งถ้วยต่อน้ำในถ้วยเท่ากันนั้นถ้วยครึ่งเสมอ แล้วไข่ที่ตุ๋นจะอร่อยถูกใจเชียว

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>ไข่ตุ๋นอร่อย</span>
ท่านที่ชอบตุ๋นไข่กิน ส่วนมากเนื้อไข่ที่ตุ๋นแล้วจะมีรอยพรุ ทำให้ไม่น่ารับประทาน เพราะว่าท่านใส่น้ำเปล่าลงไป
แต่ถ้าท่านเปลี่ยนมาใส่น้ำข้าวแทน(ไม่ใช่น้ำซาวข้าว) เนื้อไข่จะเป็นเนื้อเดียวกัน รสชาติจะอร่อย

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>ไข่ทอดน้ำหน้ากะเพราไก่</span>
การทอดไข่กับน้ำนั้น ตัวน้ำต้องมีน้ำส้มหรืออะไรที่เป็นกรดอยู่ในนั้น ไข่ขาวถึงจะรวมตัวกัน เวลาถูกตอกลงไปในน้ำร้อน ๆ
หากไข่ขาวเวลาเราตอกไข่ ลงไปในน้ำกระจายและไม่รวมตัวกัน ก็หมายความว่า น้ำที่เราต้มอยู่ตรงนั้นมีกรดหรือความเปรี้ยวน้อยไป
ให้เติมน้ำมะนาวหรือน้ำส้มเข้าไปในน้ำ แล้วท่านจะประสบความสำเร็จ
<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>
ความรู้เรื่อง "ชา" การชง</span>
มารู้จักก่อนว่า ชา มีอยู่ 2 ชนิดคือ ชากลิ่นกับชาคอ

ชากลิ่นจะมีกลิ่นหอมมาก รสชาติอ่อนนุ่ม ชุ่มคอ สีของน้ำจาง ๆ

ส่วนชาคอนั้น จะมีความหอมน้อยกว่า แต่มีรสชาติเข้มข้นกว่า ชุ่มคอมากกว่า สีของน้ำชาที่ชงออกมาจะเข้มกว่า เมื่อได้ชาดี ๆ มา

วิธีการที่ถูกต้องในการชงชาก็เป็นส่วนประกอบที่สำคัญเท่าเทียมกัน เมื่อจะเริ่มชงชาให้ลวกกา
และถ้วยชาด้วยน้ำร้อนก่อนแล้วจึงใส่ใบชาป่น 1 ส่วนต่อใบชาที่เป็นใบ ๆ 4 ส่วน (ใบชาป่นมักจะอยู่กับห่อ ก้นกระป๋อง)
ใช้น้ำเดือดเทลวกใบชาอย่างเร็ว แล้วรีบเทน้ำออกทิ้งไป แล้วรินน้ำเดือดลงไปอีกครั้ง โดยรักษาระยะห่างของกาน้ำเดือดกับกาน้ำชาไว้มาก ๆ
โดยยกกาต้มน้ำเดือดสูง ๆ แรงน้ำร้อน ๆ ที่กระทบกับใบชา จะช่วยให้น้ำชาออกรสชาติเร็ว และมีกลิ่นหอมจัด หากมีฟองเกิดขึ้นให้ปาดฟองทิ้งเสียก่อนที่จะรินชา
โดยกดพวยกาน้ำชาให้ใกล้ ๆ ขอบปากถ้วยชา ให้มากเท่าที่จะทำได้ จำง่าย ๆ ว่า "ชงสูง รินต่ำ"
แล้วก็จะได้น้ำชาที่หอมหวานและมีรสชาติสมบูรณ์ ในกรณีที่อาจทำได้ ว่ากันว่า การต้มน้ำเดือดด้วยไฟจากเตาถ่าน
จะได้น้ำเดือดที่มีกลิ่นไอของธรรมชาติมากกว่าต้มด้วยเตาแก๊สหรือเตาไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยชูรสน้ำชาที่ชงได้มากยิ่งขึ้น

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>คั้นกะทิให้หมดมันจริง ๆ</span>
มะพร้าวมาก ๆ จะเอามาคั้นนาน ๆ ก็คงจะเมื่อยมือ มีวิธีคั้นกะทิให้มันออกหมด ให้ใส่เกลือลงในมะพร้าวที่จะคั้น
เช่น เราจะใส่เกลือในแกงหรือขนม 1 ช้อน เราก็ใส่เกลือลงในมะพร้าว 1 ช้อน แต่ถ้าแกงเผ็ดเวลาตำน้ำพริกไม่ต้องใส่เกลือ

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>วิธีคั่วพริกแห้ง</span>
มีวิธีคั่วพริกแห้งไม่ให้กลิ่นรบกวนเวลาคั่ว ก่อนนำพริกลงในกระทะ ให้เอาเศษผ้าที่สะอาดจุ่มน้ำมันหมู
ทากระทะให้ชุ่มพอสมควร แล้วจึงเอาตั้งไฟคั่ว ถึงไฟจะแรงก็ไม่ส่งกลิ่นเวลาโขลกพริกจะติดน้ำมันหมู
ผงที่แหลกแล้วจะไม่คลุ้งขึ้นมาด้วย

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>เครื่องแกง</span>
เครื่องแกงเป็นสิ่งสำคัญมาก เป็นอาหารไทยแท้ และดั่งเดิมโดยส่วนผสมแม่บทที่ เป็นหลัก ๆ คือ
ขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด พริกแห้ง กะปิ กระเทียม หอม สิ่งเหล่านี้คือส่วนผสมที่หลัก Basic ของเครื่องแกงเลยไม่ว่าเครื่องแกงอะไรก็ตาม
นอกจากนั้นเครื่องแกง ถ้าเปลี่ยน หรือปรับปรุงเครื่องปรุงเข้าไปอีกหน่อย หรือถ้าเพิ่มเครื่องปรุงแบบใดแบบหนึ่งเข้าไป
เครื่องแกงนั้น ๆ ก็จะกลายเป็นอีกแบบหนึ่งทันที
<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>
เคล็ดทำขนมชั้น</span>
ขนมชั้น แต่ละชั้นควรนึ่งให้สุกดีเสียก่อน ถ้าไม่สุกจะทำให้ชั้นที่จะใส่สี สีจะลอกไปผสมกับชั้นสีขาว และจะต้องตั้งถาดนึ่งก่อนประมาณ 5 นาที
และพยายามให้ถาดตรง และเมื่อใส่ขนมแต่ละชั้นไม่ต้องยกถาดลง และรังถึงฝาจะต้องปิดสนิท

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>เคล็ดลับการทำอาจาด</span>
ต้มน้ำส้มสายชูใส่เกลือ น้ำตาล ทิ้งไว้จนเย็น จึงค่อยใส่ แตงกวา หอมแดง พริกเหลือง หรือพริกชี้ฟ้าหั่น ก็จะได้อาจาดที่ดูน่ากิน

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>เคล็ดลับการย่างปลาให้อร่อย</span>
ปลาดุกย่าง ถ้าจะย่างให้อร่อยต้องยางด้วยกาบมะพร้าว แล้วเนื้อปลาจะเหลืองมีกลิ่นหอม ชวนรับประทาน

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>เคล็ดลับการทำกล้วยบวชชี</span>
ควรต้มกล้วยทั้งเปลือกก่อน เพื่อจะช่วยขับน้ำฝาดออกหมด ได้กล้วยที่ขาวสะอาด น่ารับประทาน
และรสดี การละลายแป้งสาลีกับกะทิราดลงไปในกล้วยบวชชีจะทำให้น้ำข้นน่ารับประทานและรสอร่อยขึ้น

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>เคี่ยวน้ำเชื่อมให้ขาว</span>
ตั้งน้ำตาลที่จะเชื่อมลงบนเตา แล้วให้นำเปลือกไข่ใส่ลงไป เมื่อเคี่ยวดีแล้ว จึงตักเปลือกไข่ออก น้ำเชื่อมก็จะมีสีขาวใสน่ารับประทาน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก...เว็บไซต์คุณหมึกแดงค่ะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
cake
แม่ไข่กุ้ง พ่อไข่ปู
 
โพสต์: 1683
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 16, 2006 2:13 am

ย้อนกลับไปยัง กลเม็ดเคล็ด(ไม่)ลับ

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน
cron